สั่งย้ายนักโทษค้ายาตัวเอ้ขัง'คุกเขาบิน' | คมชัดลึก

                 30 ม.ค.55 นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บัญชาการเรือนจำความมั่นคงสูงเพื่อวางมาตรการป้องกันผู้ต้องขังไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อขายยาเสพติดจากในเรือนจำว่า ได้สั่งการไปยังผู้บัญชาการเรือนจำความมั่นสูงคง เช่น เรือนจำกลางบางขวาง เรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี เรือนจำกลางคลองไผ่ จ.นครราชสีมา เรือนจำกลางคลองเปรม และทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง ให้จำแนกผู้ต้องขังที่มีพฤติการณ์เป็นนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 400-500 คน ไปคุมขังในแดนความมั่นคงสูงภายในเรือนจำกลางเขาบิน

                 ซึ่งขณะนี้ได้ติดตั้งเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือเสร็จแล้ว สำหรับเรือนจำความมั่นคงสูงที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ อีก 7-8 แห่ง ประกอบด้วย เรือนจำกลางพิษณุโลก เรือนจำกลางระยอง เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เรือนจำกลางเชียงใหม่ ฯลฯ ให้จัดแดนยาเสพติดขึ้นในทุกเรือนจำเพื่อใช้คุมขังนักโทษคดียาเสพติดโดยแยกจากนักโทษคดีอาญาอื่น ทั้งนี้เพื่อแยกไม่ให้นักโทษคดีทั่วไปซึ่งมักทำหน้าที่เป็นซามูไรรับจ้างเดินยา รับซุกโทรศัพท์มือถือ และสิ่งของต้องห้ามที่ใช้ในการกระทำผิดของนักค้ายารายสำคัญ

                 นายกอบเกียรติ กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการป้องกันเจ้าหน้าที่เรือนจำไม่ให้เข้าไปเป็นองค์ประกอบของเครือข่ายยาเสพติด ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนเครื่องแบบ โดยผู้ที่จะเข้าออกภายในเรือนจำจะต้องไม่ใช้เครื่องหมายที่เป็นโลหะ ซึ่งการเข้าออกจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ใช้มาตรฐานเดียวกับการเข้าออกสนามบิน และห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่นำสิ่งของและอาหารทุกประเภทเข้าไปในเรือนจำเด็ดขาด ทุกคนที่เข้าเวรจะต้องเป็นการเข้าเวรแบบมือเปล่าไม่อนุญาตให้นำสิ่งของใดๆ ติดตัวเข้าไปในเรือนจำ ซึ่งผ่านมาผู้คุมที่เข้าเวรมักจะถือถุงติดมือเข้าไปด้วยโดยอ้างว่าเป็นถุงอาหาร ดังนั้นเพื่อเป็นการบังคับใช้มาตรฐานที่เข้มงวดจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการเข้าเวรมือเปล่า

                 “เรือนจำเขาบินจะใช้เป็นที่คุมขังนักโทษรายสำคัญ เพื่อตัดวงจรการใช้โทรศัพท์มือถือสั่งซื้อขายยาเสพติด ส่วนโทรศัพท์ผ่านระบบดาวเทียมเพื่อหลบเลี่ยงเครื่องตัดสัญญาณ เพราะโทรศัพท์ระบบดังกล่าวเป็นระบบลงทะเบียนสามารถตรวจสอบได้ว่า ใครเป็นเจ้าของและใช้โทรศัพท์ออกไปหาบุคคลใดบ้าง ซึ่งนักโทษมักจะใช้โทรศัพท์ระบบเติมเงินซึ่งถือเป็นจุดบอด ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบหรือขยายผลสอบสวนไปยังเจ้าของหมายเลขได้ และที่ผ่านมาแม้ทางเรือนจำจะยึดซิมการ์ดโทรศัพท์ได้ แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้มากนัก เพราะไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใด”รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าว

                 นายกอบเกียรติ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 3 ก.พ.นี้คณะกรรมาธิการวุฒิสภา จะเชิญคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมแห่งชาติ (กสทช.)เข้าหารือเรื่องความร่วมมือเกี่ยวกับระบบโทรศัพท์เติมเงินที่ทำให้ไม่ทรายรายชื่อผู้ครอบครองหรือเจ้าของหมายเลข

                 รายงานข่าวจากกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึงแนวคิดของรัฐบาลที่จะเปิดเกาะร้างให้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษคดียาเสพติดว่า แม้จะเป็นแนวคิดที่ดี แต่รัฐบาลอาจจะแบกรับภารด้านค้าใช้จ่ายไม่ไหว เพราะการสร้างเรือนจำบนเกาะจะต้องใช้ค่าดูแลสูง อีกทั้งต้องมีค่าตอบแทนและเงื่อนพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่ที่ไปปฎิบัติงาน เช่นให้เงินเพิ่มพิเศษ เช่น ทำงาน 1 เดือน หยุดพัก 1 เดือน นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในเรื่องการจัดส่งกำลังบำรุงทั้งอาหารแห้งและอาหารสด หากเป็นเกาะร้างขนาดเล็กไม่มีน้ำจืด จะต้องจัดหาเรือจัดส่งน้ำจืดไปให้นักโทษประมาณ 2,000 อีกด้วย และอาจต้องจัดหาซื้อเฮลิคอปเตอร์เพื่อใช้ประจำการในการปฎิบัติภารกิจฉุกเฉิน เช่น การเจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งทั้งหมดจะต้องใช้เงินจำนวนหลายพันล้านบาทต่อไป อาจไม่คุ้มค่า

(ภาพ : จากแฟ้มข่าว)