ข่าว

การเมืองเรื่องตัณหา

การเมืองเรื่องตัณหา

13 ม.ค. 2555

การเมืองเรื่องตัณหา : วันเว้นวันจันทร์ พุธ ศุกร์กับ ประภัสสร เสวิกุล

           มีผู้กล่าวว่าการเมืองเป็นเรื่องของตัณหาหรือความทยานอยากและใฝ่หาอำนาจทางการเมือง เป็นตัณหาในการขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง และตัณหาในการหวงแหนและรักษาอำนาจทางการเมือง เนื่องเพราะอำนาจทางการเมือง ในแนวคิดนี้ว่ากันว่านักการเมืองแทบทุกคนไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อใคร นอกจากเพื่อสนองความต้องการของตนเอง และที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือนักการเมืองประเภทนี้ไม่สนใจว่าอำนาจทางการเมืองจะได้มาหรือรักษาไว้ด้วยวิธีใด จะต้องแลกมันด้วยชีวิตหรืออนาคตของใครสักกี่คน และจะสร้างความเสียหายแก่ประชาชน สังคม และบ้านเมืองสักเพียงไร

              มีคำกล่าวว่านักการเมืองกับประชาชนนั้น ในช่วงที่หาเสียงเลือกตั้งจะไม่ต่างจากหนุ่มสาวที่รักกันใหม่ๆ อะไรก็ดูดีดูสดใสงดงามไปหมด อย่างที่เรียกกันว่าชี้นกเป็นไม้นั่นทีเดียว แต่พอหลังเลือกตั้งก็จะเปลี่ยนไปเหมือนกับคู่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมาสักระยะหนึ่ง ที่ชักจะมองสิ่งเดียวกันไปคนละทิศละทาง ถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวานหรือคำสัญญิงสัญญาต่างๆ ที่นักการเมืองให้ไว้กับประชาชน ก็จะกลายเป็นเพียงลมปากที่เลื่อนลอยไปในอากาศ และก็เริ่มขัดแย้ง ด่าทอ ไม่ถนอมน้ำใจกันอีกต่อไป

              ถ้าถามว่าเหตุใดนักการเมืองบางคนจึงเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนั้น คำตอบก็คือเป็นเพราะสภาวะของตัณหาและสถานะของนักการเมืองเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงไป จากผู้สมัครรับเลือกตั้งไปสู่การเป็น ส.ส. เป็นสมาชิกในคณะกรรมาธิการฯ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี รัฐมนตรี และอื่นๆ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับอำนาจ อิทธิพล เกียรติยศชื่อเสียง และผลประโยชน์ ดังนั้น นักการเมืองหลายๆ คนที่ดูท่าว่าจะดีหรือเคยดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อสถานะในทางการเมืองสูงขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงสร้างความผิดหวังแก่ประชาชน
 
              เมืองไทยยังไม่มีสถาบันที่จะฝึกสอนและหล่อหลอมนักการเมืองให้อุทิศตนทำงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ยังไม่มีหลักสูตรที่ปลูกจิตสำนึกให้คำนึงถึงความรักชาติ รักบ้านเมือง ยิ่งกว่าพรรคพวกเพื่อนพ้อง และการบ่มนิสัยในเรื่องจริยธรรม ศีลธรรม และคุณธรรมก็อาจจะยังไม่เข้มข้น จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ที่นักการเมืองแต่ละคนจะมีวิธีคิดและวิถีของการดำเนินชีวิตไปตามแนวทางของตนที่มีมาแต่เดิม ทั้งสุภาพบุรุษ เจ้าพ่อ นักเลงหัวไม้ นักโต้วาที  หรือตลกคาเฟ่ และตัณหาของแต่ละคนก็จะถูกเคลือบคลุมและขับเคลื่อนด้วยอัตวิสัยเหล่านั้น
 
              มีคนบอกว่า ถ้าอยากรู้ว่าสังคมของประเทศใดเป็นเช่นไรก็ให้ไปดูที่รัฐสภา เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมบุคคลที่เป็นตัวแทนของสังคม ทีทัศน์ของสังคม สภาวการณ์ของสังคม และคุณภาพของคนในสังคม ขณะเดียวกันรัฐสภาก็เป็นเครื่องบ่งบอกถึงอดีตที่ผ่านมาและทิศทางในอนาคตของประเทศนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี
 
              แม้การเมืองเป็นเรื่องของตัณหา แต่ตัณหาของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ขัดเกลาหรือทำให้เบาบางลงได้ ด้วยศีลธรรมจรรยาด้วยการมีจิตสาธารณะที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ด้วยความมุ่งมั่นในอันที่จะผลักดันให้ประเทศชาติก้าวไกลไปข้างหน้าและด้วยการไม่ติดยึดกับอำนาจวาสนาและลาภผลทางการเมือง ซึ่งประการหลังนี้เป็นเรื่องที่ยากที่สุด แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด รวมทั้งเป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ ในบ้านเมืองที่ตามมาเป็นพรวน ทั้งการขาดธรรมาภิบาล การวิ่งเต้นโยกย้าย การทุจริตคอรัปชั่น การใช้อำนาจในทางมิชอบ ซึ่งถ้าเมื่อใดก็ตาม นักการเมืองส่วนหนึ่งสามารถสลัดตัณหาดังกล่าวออกไปได้ ก็เชื่อแน่เหลือเกินว่าเมืองไทยของเรา และสังคมของเราจะมีดัชนีความสุขที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน