ข่าว

DSIชี้'ตอนนี้คดีล้มเจ้ายังถือว่าว่างเปล่า'

DSIชี้'ตอนนี้คดีล้มเจ้ายังถือว่าว่างเปล่า'

02 ม.ค. 2555

'ตอนนี้คดีล้มเจ้ายังถือว่าว่างเปล่า' พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ : สัมภาษณ์พิเศษ โดย ปิยะนุช ทำนุเกษตรไชย

                  หลังการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีล้มเจ้า จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นใบสั่งการเมืองเพื่อสั่งไม่ฟ้องคดีล้มเจ้า พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ หรือคดีล้มเจ้าตามผัง ศอฉ. เปิดใจชี้แจงข้อครหา “เขาว่าผมเป็นเสื้อแดง”
   
                  การสอบสวนคดีจากสถานการณ์ความไม่สงบ แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นคือ คดีการชุมนุม คดีก่อการร้าย และคดีการทำความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐ มาตรา 112 ซึ่งเป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงภาวะฉุกเฉิน จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายให้ปัญหายุติลง ต่อมาเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติการบังคับใช้กฎหมายเปลี่ยนจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาเป็น ป.วิอาญา การสอบสวนต้องดูว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด ผิดตามกฎหมายมาตราใด และมีหลักฐานพอเอาผิดหรือไม่
   
                  คดีล้มเจ้า มีการกล่าวหาบุคคลตามผัง ศอฉ.ว่าเป็นขบวนการล้มเจ้าในลักษณะขององค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งหน้าที่ทำเป็นขบวนการในหมวดการกระทำความผิด ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายความมั่นคงแห่งรัฐ แต่ มาตรา 112 ไม่ได้บัญญัติความผิดในลักษณะขบวนการ ส่วนใหญ่การกระทำความผิดใน มาตรา 112 จะเป็นความผิดส่วนบุคคล เช่น คดีนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายใจ อึ้งภากรณ์, นางดารณี ชาญเชิงศิลปกุล, นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน ฯลฯ ดังนั้น การกล่าวหาว่ากระทำกันเป็นขบวนการจะต้องมีหลักฐานเชื่อมโยงให้เห็นถึงการร่วมกันดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้าย โดยเฉพาะการชุมนุมที่มีการปราศรัย หากพบว่ามีการกระทำผิดจริงก็ต้องแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับบุคคลกลุ่มนี้ แต่การทำคดีดีเอสไอที่ผ่านมามีแต่ข้อกล่าวหา มีการระบุชื่อผู้กระทำความผิด แต่ไม่ได้บอกว่าทำเมื่อไหร่ ที่ไหน และอย่างไร

@ จริงหรือไม่ที่ว่า คดีล้มเจ้าตามผังศอฉ.ที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบที่มาที่ไปของการโยงใยรายชื่อในผัง
   
                  การสอบสวนกว่า 1 ปี จนถึงปัจจุบันยังไม่ทราบที่มาที่ไปของผัง ศอฉ.ว่า ใครเป็นคนเขียนผังขึ้นมา ใช้หลักฐานและเหตุผลใดนำไปสู่การเชื่อมโยงและระบุชื่อบุคคล พนักงานสอบสวนชุดเดิมไม่ได้สอบไว้ หลังปีใหม่ มกราคม 2555 ผมจะเสนอให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ลงนามในหนังสือให้ความเห็นชอบในการออกหนังสือเชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งทำหน้าที่ประธานบอร์ด คดีพิเศษแทนนายกรัฐมนตรี เข้าให้ปากคำ เพื่อให้คดียุติลงเสียที

@ ดีเอสไอถูกจับตาว่าเปลี่ยนพนักงานสอบสวนเพื่อสั่งไม่ฟ้องคดีล้มเจ้า
   
                  ตอนนี้คดีล้มเจ้ายังถือว่าว่างเปล่า ข้อกล่าวหาที่ระบุว่าเป็นคดีนั้นยังเลื่อนลอย เพราะข้อกล่าวหาในรูปขบวนการไม่มี อยากให้เข้าใจว่าการเปลี่ยนพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ เปลี่ยนเพื่ออะไร จำเป็นต้องเปลี่ยนเพราะเดิมพนักงานสอบสวนทั้งหมด 9 ชุด ทำงานเหมือนชุดสืบสวน ทำหน้าที่ตรวจสอบการเงิน ทะเบียนราษฎร์ ทำงานในลักษณะต่างคนต่างทำแต่ไม่เชื่อมโยงกัน เมื่อผมเข้ามารับหน้าที่จึงต้องเปลี่ยนให้พนักงานสอบสวนจากเดิม 100 คน แยกกันทำงาน 9 ชุด แยกเป็น 32 คดี จึงยุบให้เหลือชุดเดียว ดูงานทั้งหมดในภาพรวม ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนพนักงานสอบสวนทั้งชุด ยังมีพนักงานสอบสวนชุดเก่าร่วมอยู่ด้วย โดยรับผิดชอบคดีทั้งหมด 32 คดี เพื่อสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทุกคดีไปพร้อมๆ กัน

@ กำหนดแนวทางการทำงานของชุดสอบสวนใหม่อย่างไร
   
                  ได้แยกคดีออกเป็น 4 ประเภทคือ คดีที่เกิดขึ้นในประเทศ คดีการกระทำความผิดนอกประเทศ คดีที่มีกลุ่ม นปช.ร่วมกระทำความผิดและคดีการเผยแพร่ข้อความการปราศรัยของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผ่านสถานีวิทยุชุมชน ซึ่งความผิดในประเทศและนอกประเทศ จะใช้กฎหมายต่างกัน โดยคดีในต่างประเทศ เช่น การโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายใจ อึ้งภากรณ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข รวม 16 คดี จะเป็นอำนาจของอัยการสูงสุด ซึ่งจะกำหนดว่าในแต่ละคดีต้องการพยานหลักฐานอะไรบ้าง ยอมรับว่า คดีที่ผู้กระทำความผิดอยู่ในต่างประเทศ มีปัญหาด้านพยานหลักฐาน ในทางการทูตไม่ได้รับความร่วมมือ เพราะถูกมองว่าคดีที่เป็นความผิดในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศถือเป็นการแสดงออกทางความคิดเห็นซึ่งไม่ผิดกฎหมายในอีกประเทศ ทำให้ทั้ง 16 คดีมีความล่าช้า
   
                  เช่นเดียวกับการดำเนินคดีเอาผิดกับวิทยุชุมชน ซึ่งผู้กล่าวหาที่เข้าร้องทุกข์อ้างว่า ขับรถฟังการถ่ายทอดการปราศรัยไปตลอดการเดินทาง โดยเปลี่ยนคลื่นความถี่ฟังจนครบทั้ง 10 สถานี ซึ่งข้อเท็จจริงฟังแล้วเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะวิทยุชุมชนคลื่นความถี่สั้น หลุดบ่อย ตรงนี้มีความชัดเจนว่าไม่มีหลักฐาน ทั้งสันติบาลหรือหน่วยความมั่นคงก็ไม่มีเทปบันทึก ไม่พบว่ามีหลักฐานผังรายการออกอากาศของวิทยุชุมชน จึงไม่มีหลักฐานสนับสนุนความผิดว่ามีการเผยแพร่ซ้ำการปราศรัย

@ คิดอย่างไรที่ถูกมองหรือจัดกลุ่มเป็นเสื้อแดง
   
                  ปัญหาในสังคมคือส่วนใหญ่ไม่เข้าใจการทำคดีมาตรา 112 และไม่สามารถเข้าไปอ่านข้อความที่ระบุว่าเป็นความผิดได้ จึงมีการตีความคำพูดเพียงคำเดียว ไม่ได้ดูบริบทโดยรวม จตุพร พรหมพันธุ์ พูดมาตลอดว่า มีขบวนการแอบอ้างและทำให้เข้าใจผิดไปว่าสถาบันเกี่ยวข้องกับเหตุความรุนแรง แต่กลับมีการนำคำว่า “พระราชทาน” เพียงคำเดียวมาเอาผิดกับนายจตุพร กรณีดังกล่าวเป็นการนำเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือเล่นงานกันทางการเมือง
   
                  คดีมาตรา 112 ส่วนใหญ่ตำรวจจะสั่งฟ้อง โยนให้อัยการ อัยการโยนต่อให้ศาล ศาลก็เห็นว่ากลั่นกรองมาแล้วทั้ง 2 หน่วยงาน จึงตัดสินลงโทษ เพราะถ้าผิดจากนี้เกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี ถ้าจะกล่าวหาว่าผมเป็นคนเสื้อแดง ก็เหมือนกับนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ หรือสื่อบางฉบับที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแดง การที่ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของบุคคลกลุ่มใดกลุ่มบุคคลหนึ่ง ถ้าคิดอย่างนั้นผมก็ปฏิเสธไม่ได้ การทำคดีให้ยุติต้องให้ความยุติธรรม และถ้าการให้ความยุติธรรมจะทำให้คนกลายเป็นแดงทั้งหมด ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะในความยุติธรรม เราต้องยึดหลักไว้ การดำเนินคดี การเอาคนผิดมาลงโทษ แล้วมีการลดโทษ นิรโทษกรรม การยึดหลักแบบนี้จะบอกว่าเป็นเรื่องผิดปกติไม่ได้ มีคำกล่าวว่า ปล่อยคนผิด 100 คน ดีกว่าเอาคนไม่ผิดเพียงคนเดียวมาลงโทษ
   
                  ผมไม่กลัวว่าจะถูกมองเป็นคนไม่ภักดี ผมทำงานสืบสวนมาตลอดชีวิตตั้งแต่เป็นร้อยตำรวจตรี ไม่เคยทำงานจราจรโบกรถ หรืองานอื่นนอกจากสืบสวน ถ้าไม่มีพยานหลักฐานผมไม่จับเด็ดขาด หรือถ้าดูแล้วไม่เชื่อว่าผิดจริง ผมไม่พิพากษาเอาเขาเข้าคุกตะราง เพราะนั่นหมายถึงอนาคตของครอบครัวผู้ที่ถูกพิพากษาล่มสลายไปด้วย เป็นการสร้างอาชญากรรมโดยไม่ตั้งใจ ไม่ต่างจากการจับแพะหรือวิสามัญฯ เขา

...................

(หมายเหตุ : 'ตอนนี้คดีล้มเจ้ายังถือว่าว่างเปล่า' พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ : สัมภาษณ์พิเศษ โดย ปิยะนุช ทำนุเกษตรไชย)