
สึนามิ54-บันทึกหน้าใหม่ญี่ปุ่น
รายงานพิเศษ : แผ่นดินไหว-สึนามิ 2554 บันทึกหน้าใหม่ ภัยธรรมชาติญี่ปุ่น
แม้ว่าชาวอาทิตย์อุทัยจะคุ้นชินกับธรณีพิบัติภัย และรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรตามคู่มือที่ได้รับการสอนสั่งมานานหลายสิบปี แต่เมื่อเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวจากภูมิภาคโตโฮกุ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อเวลา 14.46 น. วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 นั้น ทุกคนรับรู้ได้ว่า ไม่ใช่แผ่นดินไหวแบบที่เคยประสบมา
แผ่นดินสั่นไหวที่รู้สึกได้ทั่วทั้งเกาะ กินเวลานาน 6 นาที เป็น 6 นาทีที่ชาวญี่ปุ่นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าสะพรึงกลัวและยาวนานเหมือนไม่สิ้นสุด
แรงสั่นสะเทือนทำให้ไฟฟ้าดับลงทันที บางแห่งติดต่อกันไม่ได้ทั้งเมือง โทรศัพท์ล่ม หลังจากนั้น เกิดอาฟเตอร์ช็อกรุนแรงอีกหลายระลอก
ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างประมาณ 70 กิโลเมตร จากทางตะวันออกของคาบสมุทรโอชิกะ ลึกประมาณ 32 กิโลเมตร เมืองใหญ่ใกล้ศูนย์กลางที่สุดคือ เชนได บนเกาะฮอนชู เกาะหลักของญี่ปุ่น ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 130 กิโลเมตร
ชั่วเวลาไม่กี่นาที ชาวญี่ปุ่นและชาวโลกเริ่มเห็นภาพความเสียหายและความโกลาหล ผู้คนแตกตื่นขวัญเสีย พยายามติดต่อกับคนในครอบครัวอย่างสิ้นหวัง ช่วงเวลานั้น ยังเป็นเวลาทำงาน จำนวนมากอยู่ที่บริษัท และเด็กๆ ยังอยู่ที่โรงเรียน
กรุงโตเกียวที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวกว่า 370 กิโลเมตร กลายเป็นอัมพาต ไม่เคยมีใครคิดว่าวันหนึ่งมหานครโตเกียวจะไม่มีรถไฟให้บริการ ทำให้คน 5 ล้านไม่สามารถกลับบ้านได้ หรือไม่ก็ต้องเดินกลับบ้านในคืนนั้น ขณะยอดขายจักรยานพุ่งพรวด
ขนาดแรงสั่นสะเทือนเบื้องต้นวัดได้ 7.9 ริกเตอร์ ก่อนเพิ่มอย่างรวดเร็วเป็น 8.8, 8.9 จนในที่สุด ปรับเป็นระดับ 9 กลายเป็นหนึ่งในแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงที่สุด 5 ครั้งในรอบ 100 ปี และเป็นครั้งรุนแรงที่สุดที่ญี่ปุ่นเคยประสบ
แผ่นดินไหวปลดปล่อยพลังงานบนพื้นผิวเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 9,320 กิกะตัน ทำให้เกาะฮอนชูขยับไปทางตะวันออก 2.4 เมตร และทำให้แกนโลกขยับ ประมาณ 10 เซนติเมตร แต่นั่น เป็นแค่จุดเริ่มต้นก่อนมหันตภัยอีกรูปแบบกำลังตามมา
ญี่ปุ่นประกาศเตือนสึนามิในระดับสูงสุดทันทีหลังแผ่นดินไหว จากนั้น ประมาณหนึ่งชั่วโมง สึนามิลูกแรกซัดถล่มเมืองเชนได ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่ง จ.มิยางิ ซัดกวาดรถยนต์และเครื่องบินที่จอดบนสนามบิน ลอยเคว้งไปตามน้ำราวกับของเล่น
กำแพงน้ำซึ่งในบางพื้นที่สูงถึง 39 เมตร ถาโถมซัดหมู่บ้านหลายแห่ง หายไปจากแผนที่ชั่วเวลาไม่นาน ขณะไหลหลากเข้าไปในแผ่นดินลึก 6 กิโลเมตร ท่วมพื้นที่กว้างประมาณ 561 ตารางกิโลเมตร ทิ้งเศษซากหักพังให้ต้องเก็บกวาด 23 ล้านตัน ประชาชน 4.5 แสนต้องอพยพ โดย จ.อิวาเตะ มิยางิ และฟูกูชิมะ ได้รับผลกระทบหนักสุด
หลายประเทศที่มีชายฝั่งติดแปซิฟิก รวมทั้งอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ประกาศเตือนภัยสึนามิและอพยพเช่นกัน แต่สึนามิไม่กระทบต่อพื้นที่อื่นมากนักนอกจากญี่ปุ่น
สองภัยพิบัติ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 15,842 ราย สูญหาย 3,485 คนในพื้นที่ 18 จังหวัดและเขตปกครอง อาคารบ้านเรือนเสียหายหรือถูกทำลายกว่า 1.25 แสนหลัง ธนาคารโลกประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ 2.35 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นภัยธรรมชาติที่มีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
9 เดือนผ่านไป ยังมีประชาชนเกือบ 3.35 แสนคนที่ยังอยู่ในสภาพผู้อพยพ ขณะรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งวงเงิน 19 ล้านล้านเยน สำหรับใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูในระยะ 5 ปีนับจากปีงบประมาณปัจจุบัน
เท่านั้นยังไม่พอ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ใน จ.ฟูกูชิมะ ที่ออกแบบมารับแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวได้ แต่ไม่อาจรับมือกับมวลน้ำมหาศาลที่ไหลข้ามกำแพงสูง 19 ฟุต ทะลักท่วมห้องเครื่องปั่นไฟสำรอง มีผลให้ระบบหล่อเย็นหยุดทำงานไปด้วย ก่อวิกฤติตามมาเป็นลูกโซ่ เกิดเหตุระเบิดจากการสะสมของก๊าซไฮโดรเจน ไล่ๆ กันที่อาคารเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1, 3 และ 4
บริษัทการไฟฟ้าโตเกียว (เทปโก้) พยายามกอบกู้สถานการณ์ด้วยการสูบน้ำทะเลมาใช้หล่อเย็น และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ แบบที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนบนโลก ซึ่งมีความสำเร็จในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่อาจป้องกันการแพร่กระจายของกัมมันตรังสีในวงกว้าง ทั้งทางอากาศและทะเล สร้างความหวาดวิตกแก่ผู้คนทั้งในประเทศและเพื่อนบ้าน
สำนักงานความปลอดภัยอุตสาหกรรมและนิวเคลียร์ญี่ปุ่น จัดอุบัติภัยนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ มีความร้ายแรงในระดับ 7 เทียบเท่ากับหายนภัยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ในยูเครน เมื่อปี 2529 หลังจากวิเคราะห์แล้วพบว่าแกนเชื้อเพลิงหลอมละลายที่เตาปฏิกรณ์ 1-3
ทางการสั่งอพยพประชาชนในรัศมี 20 กิโลเมตร และยังไม่มีใครบอกได้ว่าชาวบ้านกว่าแสนคนจะได้กลับบ้านหรือไม่ หรือกล้ากลับหรือไม่ แม้รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศความคืบหน้าก่อนสิ้นปีว่า โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะเสถียรแล้ว และจะไม่แพร่รังสีออกมาอีก แต่แผนปลดระวางโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นเพิ่งประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อน ต้องใช้เวลายาวนาน 30-40 ปี ขณะที่ความเชื่อมั่นในพลังงานนิวเคลียร์ญี่ปุ่น ตกต่ำลงถึงขีดสุด
บทเรียน
รูปแบบการเกิดแผ่นดินไหว อาฟเตอร์ช็อก และสึนามิที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ล้มทฤษฎีองค์ความรู้หลายอย่าง ทำให้การรับมือแบบเดิมไม่ได้ผล นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นและนานาชาติกล่าวว่า การศึกษาวิจัยอาจต้องใช้เวลานานนับสิบปี เพื่อเป็นประโยชน์ในการหาทางผ่อนหนักเป็นเบาต่อไป เช่น การออกแบบสร้างอาคารที่ทนทานต่อการสั่นไหวนานขึ้น หรือคาดการณ์อันตรายจากสึนามิได้แม่นยำกว่าเดิม
เช่น ผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จากนาซาและมหาวิทยาลัย โอไฮโอ สเตท เผยแพร่ไม่นานมานี้ พบว่าพลังงานอันมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยจากการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนเปลือกโลกเป็นแผ่นดินไหวระดับ 9 ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้สึนามิมีความรุนแรงและสูงถึง 39 เมตรในบางพื้นที่ แต่คลื่นสึนามิในวันนั้น ก่อตัวจากคลื่นยักษ์สองลูกมารวมกัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานว่า มีอยู่จริงหรือไม่ นับจากคลื่นสึนามิจากชิลีเมื่อปี 2503 มีความรุนแรงขนาดคร่าชีวิตประชาชนในญี่ปุ่นและฮาวาย 200 คน
ในครั้งนี้ เรดาร์ดาวเทียมจากองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติสหรัฐ(นาซา) และสำนักงานอวกาศยุโรป อยู่ในตำแหน่งถูกที่ถูกเวลา จับภาพที่แสดงให้เห็นว่า แผ่นดินไหวก่อคลื่นทะเลเป็นสองแนว ค่อยสะสมพลังเมื่อเคลื่อนตัวผ่านแนวสันเขาและภูเขาใต้ทะเล จนมาบรรจบกันเป็นคลื่นลูกเดียวที่มีความแรงและความสูงเพิ่มทวีคูณ และสามารถเดินทางไกลสู่แผ่นดินโดยไม่สูญเสียพลังงาน
ญี่ปุ่นเผชิญความสูญเสียทำลายล้างจากภัยธรรมชาติ และฟื้นฟูขึ้นมาใหม่หลังจากนั้นตลอดมา การมีชีวิตอยู่กับความเสี่ยงกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมลูกหลานซามูไร กระนั้น ภัยพิบัติสามแบบซ้อนเมื่อ 11 มีนาคม เป็นเครื่องเตือนใจว่า ความมั่งคั่งและล้ำสมัยที่ได้สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี ไม่ได้ช่วยขจัดความเสี่ยงให้หมดไปได้
เพราะแม้ญี่ปุ่นจะมีระบบรับมือแผ่นดินไหวที่ได้ชื่อว่าเป็นที่หนึ่ง ลงทุนมหาศาลสร้างกำแพงป้องกันสึนามิ หรือ ซีวอลล์ หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ กินความยาวร้อยละ 40 ของชายฝั่งทั้งหมด 34,751 กิโลเมตร และมีความสูงถึง 12 เมตร แต่สึนามิครั้งนี้ข้ามผ่านซีวอลล์บางจุดได้อย่างสบายๆ และพังกำแพงในบางจุด มีรายงานว่า ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเสียชีวิตเพราะคาดไม่ถึงว่า สึนามิจะมีความสูงถึงจุดที่พวกเขาหนีขึ้นไปหลบภัย
เป็นคำถามท้าทายน่าขบคิดอีกครั้งว่า ความพยายามต่อสู้ขัดขวางธรรมชาติ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ หรือควรนำไปทุ่มกับระบบเตือนภัย การเตรียมพร้อมอย่างมีประสิทธิภาพ และการฟื้นฟูเพื่อคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็วจะดีกว่า
2554 สัญญาณเตือนชัดสภาพอากาศโลกเปลี่ยน
ปี 2554 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป เป็นปีที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเผชิญกับภัยธรรมชาติครั้งเลวร้ายที่สุดในช่วงชีวิต ทำให้ผู้คนมากมายหลายพันบาดเจ็บล้มตาย หลายล้านคนต้องไร้ที่อยู่ และสร้างความระส่ำระสายทางเศรษฐกิจในประเทศที่เผชิญภัยนั้น
เริ่มต้นปีด้วยน้ำท่วมร้ายแรงในออสเตรเลียกินพื้นที่เท่ากับฝรั่งเศสกับเยอรมนีรวมกัน ประเทศไทยเจอมหาอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ญี่ปุ่นกับนิวซีแลนด์เจอแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดเท่าที่ทั้งสองประเทศเคยประสบมา ชาวจีนทางภาคกลางและตะวันออก เผชิญภัยแล้งยืดเยื้อและน้ำท่วมรุนแรง ปิดท้ายปีที่พายุโซนร้อนวาชิ หอบฝนถล่มทางใต้ฟิลิปปินส์แบบคาดไม่ถึง คร่าชีวิตผู้เคราะห์ร้ายกว่าพันคน สูญหายหลายร้อย และชาวบ้านอีกราว 3 แสนคนไร้ที่อยู่อาศัยหรือต้องอพยพ
ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) ธนาคารโลก และสหประชาชาติ ประสานเสียงเตือนว่า เอเชีย-แปซิฟิก เป็นภูมิภาคที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกมากกว่าระดับเฉลี่ยของโลก และต้องตระหนักว่า ภาวะเลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง หากยังไม่ลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เอเชีย-แปซิฟิก ต้องรอรับภัยพิบัติที่สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก "แบบเกิดมาไม่เคยเห็น" อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง อุทกภัย และวาตภัย
ผลศึกษาของเอดีบีว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกกับผลกระทบต่อเอเชียอาคเนย์ ชี้ว่า ภาวะโลกร้อน อาจทำให้ผลผลิตข้าวลดลงถึง 50% โดยเฉลี่ยภายในปี 2643 เทียบกับผลผลิตในปี 2533 ทั้งในเวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ขณะที่พื้นที่ป่าไม้ผืนใหญ่อาจกลายสภาพเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาและพุ่มไม้เตี้ยเขตร้อน ที่มีศักยภาพดูดซับคาร์บอนต่ำหรือไม่มีเลย
มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ภูมิภาคนี้ มีความเสี่ยงสูญเสียมากกว่าที่อื่น จากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก
ประชากร 563 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระจุกตัวอยู่ใกล้แนวชายฝั่งความยาว 173,251 กิโลเมตร สภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงและไฟป่าที่เกิดบ่อยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก จะคุกคามอุตสาหกรรมส่งออกที่เป็นแหล่งจ้างงานกว่าร้อยละ 40 และมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 11 ของผลผลิตมวลรวมภายใน(จีดีพี) ที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ในทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เพราะเป็นหนึ่งในผู้ป้อนผลิตภัณฑ์ป่าไม้รายใหญ่สุดของโลก
เอดีบีคาดการณ์ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 4.8 องศาเซลเซียสต่อปีภายในปี 2643 จากระดับปี 2443 และคาดว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น 70 เซนติเมตรในช่วงเวลาเดียวกัน อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม จะเผชิญสภาพอากาศแห้งแล้งกว่าเดิมในระยะ 20-30 ปีข้างหน้า
เอเชียเป็นบ้านของมนุษยชาติ 3 ใน 5 เป็นทวีปที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงที่สุด และมีสัดส่วนประชากรยากจนใหญ่ที่สุดของโลก ประชากรโยกย้ายสู่เขตเมืองตามแนวชายฝั่ง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมขนาดใหญ่ ทำให้มีคนมากขึ้นที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงกับสภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลง
นอกจากมีความเสี่ยงสูงต่อการเผชิญภัยพิบัติอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนแล้ว หลายประเทศยังตั้งอยู่บนวงแหวนอัคคี รอยเลื่อนเปลือกโลกรอบแปซิฟิกตั้งแต่ญี่ปุ่นจนถึงนิวซีแลนด์ และแนวฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่มาของภูเขาไฟปะทุและแผ่นดินไหว
2554 ซึ่งเป็นปีที่โลกมีประชากรแตะ 7,000 ล้านคนนี้ ยังเป็นปีที่มีการบันทึกสถิติใหม่ๆ ของภัยธรรมชาติเกือบครบทุกประเภท ตั้งแต่พายุหิมะ พายุทอร์นาโด ที่ทำให้มีคนตายมากเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา มีฤดูพายุเฮอริเคนชุกที่สุดเป็นอันดับสาม เป็นปีที่โลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณทุบสถิติ น้ำแข็งในทะเลอาร์กติกหลอมละลายเท่ากับสถิติในปี 2550 และอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดเป็นอันดับที่ 11
ส่วนภัยแล้ง เล่นงานทั้งประเทศรวยสุดและจนสุด โซมาเลียกับฮอร์น ออฟ แอฟริกา หรือส่วนปลายแหลมทางตะวันออกของทวีป เผชิญภัยแล้งที่สุดในรอบ 60 ปี ประชาชนอดอยากเดือดร้อนกว่า 10 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน สัตว์เลี้ยงล้มตายหลายล้าน
ขณะที่รัฐเท็กซัส ก็เผชิญคลื่นความร้อนและภัยแล้งรุนแรง โดยเมืองออสตินในรัฐ เผชิญวันที่อุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์ รวมทั้งสิ้น 90 วัน ต้นไม้ล้มตาย 100-500 ล้านต้น ยังไม่นับรวมต้นไม้ที่ตายจากไฟป่าเผาผลาญกินพื้นที่ 10 ล้านไร่
เป็นปีที่เริ่มต้นและปิดท้ายด้วยภัยแล้งและอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์ในยุโรป อุณหภูมิเฉลี่ยทางเหนือของนอรเวย์ สูงกว่าระดับปกติราว 5.3 องศาเซลเซียส แม่น้ำดานูบ อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 60 ปี และเยอรมนีกับหลายประเทศทางเหนือของยุโรป แห้งแล้งที่สุดนับจากเริ่มเก็บสถิติในปี 2424
ปีเดียวกันนี้ ยังเป็นปีที่โลกเผชิญแผ่นดินไหวรุนแรงบ่อยเป็นพิเศษ ในช่วง 7 สัปดาห์ระหว่าง 1 มกราคม-21 กุมภาพันธ์ เกิดแผ่นดินไหวระดับที่สร้างความเสียหายได้ในอาร์เจนตินา ชิลี อิหร่าน ปากีสถาน ทาจิกิสถาน ตองกา พม่า หมู่เกาะโซโลมอน สุลาเวสี ฟิจิ และนิวซีแลนด์ จากนั้นเกิดแผ่นดินไหวระดับ 9 ที่ทำให้เกิดคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่นเมื่อ 11 มีนาคม
.......................
(หมายเหตุ : รายงานพิเศษ : แผ่นดินไหว-สึนามิ 2554 บันทึกหน้าใหม่ ภัยธรรมชาติญี่ปุ่น)