
พ่อรวย แต่ลูกจน
ขมน้ำตาล หวานบอระเพ็ด : พ่อรวย แต่ลูกจน โดย...พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ
พ่อเป็นคนบ้านนอกที่เรียนหนังสือน้อยไม่มีโอกาสเลือกงาน จึงเริ่มต้นอาชีพแรกในเมืองกรุงด้วยการเป็นภารโรงในโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่ด้วยความขยันและตั้งใจเรียนรู้ ทำให้พ่อหัดขับรถยนต์จนเป็น และได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นพนักงานขับรถรับส่งนักเรียนในที่สุด
เงินเดือนหนึ่งพันบาทของพ่อบวกกับการรู้จักเก็บหอมรอมริบ ทำให้มีเงินสินสอดไปขอแม่แต่งงานด้วย หลังจากนั้นอีกไม่นานเมื่อพ่อกับแม่มีลูกถึงสองคน เป็นเวลาเดียวกับที่รัฐบาลไทยมีนโยบายปลดล็อกรถแท็กซี่ เปิดให้มีการจดทะเบียนรถแท็กซี่ส่วนบุคคล
ด้วยเงินที่เก็บออมเอาไว้บวกกับเงินกู้บางส่วน พ่อจึงไปดาวน์รถแท็กซี่ส่วนบุคคลพร้อมกับลาออกจากงานมาขับรถแท็กซี่หาเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่แม่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นเป็นห้าพันบาท จนเมื่อพ่อสอนให้แม่ขับรถยนต์เป็นแล้ว แม่จึงลาออกจากงานภารโรงมาผลัดกันกับพ่อขับรถแท็กซี่คนละกะ
พ่อและแม่ช่วยกันขับรถแท็กซี่หาเงินส่งจนลูกที่โตขึ้นมา เรียนจบระดับปริญญาตรีและมีงานดีทำด้วยกันทั้งคู่ เป็นช่วงเวลาที่พ่อขายรถแท็กซี่คันเก่าไปซื้อรถรุ่นใหม่ และทั้งพ่อกับแม่ก็ใช้เวลาในการขับรถแท็กซี่น้อยลง พ่อกับแม่ซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์อยู่แถบชานเมืองด้วยระบบเงินผ่อน จนถึงวันที่ลูกๆ ได้งานทำ ทาวน์เฮ้าส์ของพ่อกับแม่ก็เหลือเวลาผ่อนส่งอีกไม่กี่ปี
พ่อกับแม่เวลาที่ออกรถไปขับตะลอนหาเงินมาใช้จ่าย ทั้งคู่จะตักข้าวที่หุงเองจากบ้านใส่กล่อง มีขวดน้ำที่กรอกจากก๊อกเอาไว้ดื่มทั้งขณะอยู่กับบ้านและเมื่อไปขับรถ
ส่วนลูกชายและลูกสาวทั้งสองคนเมื่อได้ทำงานบริษัทเอกชนเงินเดือนระดับคนละสองหมื่นบาท ทั้งสองคนต่างเอ่ยปากบอกกับพ่อว่าไม่สามารถทนตื่นเช้าเดินทางไกลไปทำงานได้ จึงแยกย้ายกันไปเช่าคอนโดมิเนียมในเมืองด้วยอัตราเดือนละสี่พันบาทต่อห้อง และลูกๆ เกิดเป็นคนยุคใหม่ไม่สามารถทนต่อกลิ่นน้ำประปาได้ จึงต้องดื่มชาเขียวลิตรละหลายสิบบาท
วันพักผ่อนหย่อนใจของพ่อกับแม่คือการได้หยุดอยู่กับบ้านเก็บกวาดเช็ดถู ปลูกต้นไม้, เลี้ยงปลา, เลี้ยงนก และดูละครโทรทัศน์ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นละครน้ำเน่า หรืออย่างเก่งก็ขับรถกลับไปบ้านนอกเพื่อเยี่ยมญาติพี่น้อง
แต่วันพักผ่อนของลูกๆ คือการไปดูภาพยนตร์ตามโรงทันสมัย ค่าตั๋วใบละกว่าร้อยบาท ถ้ามีวันหยุดยาวนานหน่อยก็ไปเที่ยวชายทะเลกับเพื่อนๆ หรือถ้าโบนัสออกงอกงามดีก็ถึงขั้นไปเที่ยวต่างประเทศกันเลย
พ่อแม่ที่มีรายได้ไม่สูงมากนักหรือจะบอกว่า มีรายได้ไม่เกินไปกว่าอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำด้วยซ้ำ แต่สามารถส่งเสียเลี้ยงดูลูกจนได้เรียนในระดับสูงๆ ได้ มีบ้านเป็นทรัพย์สินของตนเองและเป็นมรดกให้ลูกในยามที่พ่อแม่จากไป รับรู้ความเป็นไปของบ้านเมืองตามสภาพที่ประชาชนควรจะเป็น ไม่ถึงขั้นหูป่าตาเถื่อนไม่รู้ความเคลื่อนไหวของโลก แต่ก็ไม่ได้เกาะติดจนไปพูดคุยกับคนทั่วไปถึงเรื่องไกลตัวได้ราวกับอยู่ในเหตุการณ์
รายได้ที่ดูราวกับไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้แม้แค่เพียงตัวคนเดียว แต่พ่อกับแม่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวมาได้อย่างยั่งยืน ในขณะที่รายได้ของลูกแต่ละคนมากกว่าที่พ่อกับแม่หาได้รวมกัน แต่ทุกสิ้นเดือนลูกๆ กลับไม่สามารถมีเงินเก็บออมไว้เพื่ออนาคตของตนเองได้ รายได้อันสูงกว่าพ่อแม่ของลูกๆ จึงไม่สามารถทำให้ลูกมีความสุขกับชีวิตอนาคตได้
นิทานเรื่องพ่อกับลูกที่ผมเล่ามาให้ฟังในวันนี้ หากเป็นนิทานอีสปเหมือนที่เคยเล่าเรียนกันมา ก็ต้องจบลงท้ายด้วยประโยคที่ว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “การที่คนผู้หนึ่งสามารถมีรายได้มาก ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะบอกว่าคนผู้นั้นจะสามารถสร้างอนาคตนอันมั่นคงให้กับตัวเองได้” หรือเท่ากับว่านิทานเรื่องนี้กำลังบอกกับคนทั่วไปโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ว่า
ถ้าเราไม่ยอมให้ใจของเราไหลไปกับกระแสแห่งสังคม ไม่ยอมดิ้นรนเพื่อที่จะเป็นคนร่วมสมัยอินเทรนด์ตามคนอื่นโดยลืมฐานะแท้จริงของตนเอง แม้เราจะไม่สามารถหารายได้สูงๆ เท่ากับคนโน้นคนนี้ได้ เราก็ยังสามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับตัวเราได้ ด้วยการยังชีวิตอยู่ด้วยหลักของ “ความพอเพียง” ในปัจจัยสี่ครับ
---------------------
(ขมน้ำตาล หวานบอระเพ็ด : พ่อรวย แต่ลูกจน โดย...พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ)