ข่าว

เจาะลึก'คันกั้นน้ำ'สร้างผิด4กฎ

เจาะลึก'คันกั้นน้ำ'สร้างผิด4กฎ

22 ต.ค. 2554

เจาะลึก...หายนะ 'คันกั้นน้ำ'สร้างผิด4กฎ : โต๊ะรายงานพิเศษรายงาน

            พริบตาเดียว...เสียหายทันที 1 แสนล้านบาท มูลค่าเบื้องต้นหลังน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม 4 แห่งของอยุธยา เพื่อไม่ให้สูญเสียมากกว่าเดิม รัฐบาลสั่งระดมกองกำลังทหารและพลเรือนสร้าง "พนังกั้นน้ำ" ป้องกันนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี นานกว่า 2 อาทิตย์ที่รถบรรทุกขนดิน หิน และถุงทรายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านถุง ลำเลียงเข้าไปก่อสร้างอย่างเร่งด่วน แต่สุดท้ายช่วงบ่ายวันที่ 17 ตุลาคม พนังกั้นน้ำฉุกเฉินสูงเกือบ 6 เมตรของนิคมนวนครก็สไลด์ตัวพังพินาศลงมา น้ำท่วมทะลักพื้นที่กว่า 1 พันไร่อย่างรวดเร็ว คนงานและชุมชนที่อาศัยอยู่ด้านในวิ่งหนีตายอลหม่าน !!

             ล่าสุด 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา ระหว่างอาสาสมัครช่วยกันเรียงกระสอบทรายทำแนวกั้นน้ำคลองเปรมมประชากร บริเวณนิคมอุตสาหกรรมบางกระดี ในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานกระแสน้ำได้ น้ำไหลล้นท่วมโรงงานด้านใน 47 แห่งทันที

             หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า การสร้างพนังกั้นน้ำหรือคันกั้นน้ำถูกวิธีจริงหรือไม่ ทำไมพังทลายอย่างง่ายดาย ?

             ศ.ดร.ชัยยุทธ ชินณะราศรี ผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมแหล่งน้ำ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี แสดงความเห็นว่า จากรูปภาพ "พนังกั้นน้ำ" และ "คันกั้นน้ำ" ที่ลงตามสื่อต่างๆ นั้น เห็นชัดว่าเป็นการก่อสร้างชั่วคราว ทำอย่างรีบร้อนโดยไม่คำนึงถึงหลักโครงสร้างทางวิศวกรรม และหลักการไหลของน้ำตามธรรมชาติ โดยเฉพาะการใช้ดินและถุงทรายมาวางเรียงเป็นกำแพงสูงหลายเมตรอย่างผิดวิธีนั้น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงต่ออาสาสมัครยกถุงทรายเหล่านั้นได้ เพราะน้ำที่ไหลบ่าลงมาจากภาคเหนือมีมวลพละกำลังมหาศาล

             ผู้เชี่ยวชาญข้างต้นอธิบายต่อว่า "พนังกั้นน้ำ" คือ สิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำขนาดใหญ่ มีความสูงหลายเมตร ส่วน "คันกั้นน้ำ" คือสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กลงมา เช่น คันดินขนาดเล็กหรือถุงทรายที่วางเรียงกัน การก่อสร้างเพื่อสู้กับกระแสน้ำนั้น ต้องคำนึงถึงหลักวิศวกรรมและไม่ก่อสร้างอย่างตื่นตะหนก โดยสูตรสำคัญเบื้องต้นคือ ความลาดด้านหน้าที่สัมผัสน้ำของ "คันกั้นน้ำ" ต้องเหมาะสมและมีความกว้างด้านหน้าฐานเป็น 2  เท่าของความสูง ส่วนความกว้างของฐานด้านหลังนั้นต้องกว้างอย่างน้อย 1.5 เท่าของความสูง เพราะวัสดุด้านหน้าที่กระทบน้ำไหลจะถูกกัดเซาะมากกว่าด้านหลัง รวมแล้วฐานควรกว้างเป็น 3-4 เท่าของความสูง

             "จากรูปพนังกั้นน้ำของนิคมนวนคร ประมาณได้คร่าวๆ ว่ามีความสูงเฉลี่ย 4 เมตร ฐานล่างเป็นคันดินก่อนวางถุงทรายด้านบน แต่ฐานแคบมาก ดูแล้วกว้างกว่าความสูงไม่มากนักคือ 5 -6 เมตรเท่านั้น ทำให้โครงสร้างไม่มั่นคงแข็งแรง หากจะสร้างให้ได้มาตรฐานปลอดภัยต้องทำฐานกว้าง 3-4 เท่า หรือประมาณ 14 เมตร เปรียบเทียบกับคนที่ยืนขาชิดกัน กับคนยืนขยับขาให้กว้างออกมา หากถูกผลักคนที่ยืนขาชิดกันจะล้มลงทันที เพราะวิธียืนไม่มั่นคง นอกจากนี้ดินที่นำมาใช้ไม่ควรมีเศษกิ่งไม้และวัสดุสิ่งแปลกปลอมในเนื้อดิน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลซึมผ่านช่องว่างเหล่านี้ เข้าใจว่าเป็นเรื่องฉุกละหุกไม่สามารถเก็บเศษแปลกปลอมออกได้หมด เมื่อเนื้อดินไม่ประสานสนิทดีพอ พนังกั้นน้ำก็แตกง่ายอย่างที่เป็นข่าว"

             ศ.ดร.ชัยยุทธ ชินณะราศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมแหล่งน้ำ ร่วมกับ ผศ.ดร.อนันต์ ปัจวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโยธา ร.ร.นายร้อยพระจุลจอมเกล้า จัดทำ "แนวทางก่อสร้างคันป้องกันน้ำท่วมชั่วคราว" โดยสรุปหลักการหรือกฎเหล็กสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่

             1. "สร้างเป็นรูปทรงพีระมิด" มีฐานกว้างอย่างน้อย 3-4 เท่าของความสูง แบ่งเป็นความกว้างด้านติดน้ำ 2.5 เท่า ด้านหลัง 1.5 เท่า เช่น คนทั่วไปอยากวางเรียงกระสอบทรายกันน้ำท่วมด้านหน้าประตูบ้าน หากเรียงกระสอบทรายสูง 6 ถุง หรือประมาณ 2 ฟุต ต้องนำถุงทรายมาวางเรียงฐานล่าง 24 ถุง แบ่งเป็นด้านหน้า 15 ถุง ด้านหลัง 9 ถุง 
 
               2. "ห้ามมีช่องว่าง" ดินที่ใช้ต้องไม่มีวัสดุแปลกปลอม เพราะเศษกิ่งไม้หรือขยะทำให้เนื้อดินไม่ประสานน้ำซึมไหลผ่านได้ เมื่อน้ำไหลผ่านจะเกิดแรงพลศาสตร์เพิ่มขึ้น บวกกับแรงดันสถิตทำให้ช่องว่างใหญ่จนคันกั้นน้ำแตก จากช่องว่างไม่กี่เซนติเมตรจะขยายกว้างเป็นร้อยเมตรภายในไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ขนของหนีน้ำไม่ทัน นอกจากนี้ควรก่อสร้างบนพื้นดินแน่น หรือบนคันดินเดิม และบดอัดดินให้แน่นเป็นชั้น สูงไม่เกินชั้นละ 20 เซนติเมตร

             3. "สร้างขนานทิศทางไหลของน้ำ" การวางถุงทรายหรือคันดินควรสร้างขนานกับทิศทางการไหลของน้ำ และมีความสูงกว่าระดับน้ำที่กำลังท่วมอย่างน้อย 30 เซนติเมตร แนะนำให้ใส่ทรายแค่ครึ่งถุง เพื่อให้ถุงทรายปรับรูปร่างได้ตามสภาพที่ถูกกดทับ วางปากถุงไว้ด้านในที่ไม่ถูกน้ำ

             4. "วางสลับฟันปลา" การวางถุงทรายหรือการก่ออิฐบล็อกชั่วคราวที่ประตูบ้าน ต้องวางแบบสลับฟันปลา เพื่อเสริมกำลังต้านทาน

             ศ.ดร.ชัยยุทธ กล่าวสรุปอย่างน่าสนใจว่า เหตุการณ์คันกั้นน้ำหลายแห่งพังพินาศลงนั้น เนื่องจากหน่วยงานรัฐและเอกชนที่รับผิดชอบการก่อสร้างไม่ปรึกษาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง การสร้างคันกั้นน้ำที่ไม่ได้มาตรฐานนั้น นอกจากป้องกันน้ำท่วมไม่ได้และเป็นอันตรายต่อประชาชนแล้ว ยังทำให้ประเทศชาติสูญเสียงบประมาณมหาศาลด้วย เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นทุกปี รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีผู้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างเพื่อป้องกันภัยพิบัติน้ำอย่างจริงจัง