
อดีตราชธานีกรุงศรีอยุธยา
อดีตราชธานีกรุงศรีอยุธยา : พันเรื่องถิ่นแผ่นดินไทย โดยศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์และคณะ
เวลานี้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองกำลังทุกข์อกทุกข์ใจกันมากกับปัญหาน้ำท่วม ในที่นี้จึงไม่มีแก่ใจที่จะไปเล่าเรื่องอื่นกันได้ นอกจากจะเล่าเรื่องน้ำท่วม ซึ่งคิดไปอีกทีก็เหมือนจะซ้ำเติม ให้เกิดความทุกข์ใจอะไรได้มากขึ้นไปอีก กระนั้นก็ตามก็ยังไม่เห็นควรว่าจะเล่าเรื่องอื่นใด นอกจากเรื่องน้ำท่วมอยู่ดี คราวนี้จึงนำภาพวัดไชยวัฒนาราม ซึ่งขณะนี้กำลังจมอยู่ในน้ำมาให้ท่านผู้อ่านชม เพื่อให้นึกเห็นภาพในอดีตว่า กรุงศรีอยุธยาเมื่อหลายร้อยปี ก็คงเคยถูกน้ำท่วมเช่นนี้เหมือนกัน
กรุงศรีอยุธยาเป็นอดีตราชธานีของไทย ที่ทรงสร้างและสถาปนาโดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) เมื่อปี พ.ศ.1893 บริเวณอันเป็นที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยา มีแม่น้ำล้อมรอบถึง 3 สายอันได้แก่ แม่น้ำป่าสัก ทางทิศเหนือ แม่น้ำเจ้าพระยา ทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และแม่น้ำลพบุรี ทางทิศตะวันออก ในครั้งนั้นพระเจ้าอู่ทองได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุดบริเวณคูขื่อหน้า เพื่อเชื่อมแม่น้ำ 3 สายเข้าด้วยกัน ทำให้กรุงศรีอยุธยามีสภาพเป็นเกาะเมือง ที่มีน้ำล้อมรอบเป็นปราการด่านสำคัญ
ด้วยการที่กรุงศรีอยุธยามีแม่น้ำล้อมรอบเป็นปราการอย่างนี้ จึงทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองป้อมค่ายทางธรรมชาติที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ประกอบกับการสร้างกำแพงค่ายคูประตูหอรบขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ก็ยิ่งทำให้กรุงศรีอยุธยามีความแข็งแกร่ง เมื่อมีข้าศึกศัตรูมาประชิดก็สามารถใช้ปราการดังกล่าวนั้นป้องกันภัยจากข้าศึกศัตรูได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้กรุงศรีอยุธยาจึงมียุทธศาสตร์ในการต่อสู้กับศัตรูด้วยการตั้งรับ และเมื่อถึงฤดูน้ำหลากข้าศึกก็จะยกทัพกลับไปเอง
แต่เหตุการณ์คราวเสียกรุงครั้ง พ.ศ.2112 และ พ.ศ.2310 นั้น พม่าได้เตรียมการมาเป็นอย่างดี เพราะรู้ว่ากรุงศรีอยุธยามียุทธศาสตร์ดังกล่าว และเตรียมเสบียงอาหารไว้ใช้ภายในพระนครได้เพียง 1 ปี เพราะทุกครั้งที่น้ำหลากพม่าก็จะถอยทัพกลับไป แต่การศึกคราวเสียกรุงครั้งสำคัญทั้ง 2 ครั้งนั้น พม่าได้เข้าทำการตีหัวเมืองทางตอนเหนือมาก่อน โดยใช้เวลาในการเตรียมการเป็นแรมปี ยึดเอาเมืองกำแพงเพชรเป็นที่ปลูกข้าวไว้เป็นเสบียงสำหรับเลี้ยงกองทัพให้ได้อยู่ได้กินในฤดูน้ำหลาก
พอถึงฤดูน้ำหลากแทนที่พม่าจะยกทัพกลับอย่างทุกครั้งในอดีตที่ผ่านมา พม่ากลับนำกองทัพไปคอยไว้ในที่สูง รอจนกว่าน้ำหลากจะผ่านพ้นไป จึงทำการเข้าตีกรุงศรีอยุธยา จนทำให้ต้องเสียกรุงในครั้งนั้น ใน “พงศาวดารคองบอง” ของพม่าจารึกว่า สงครามคราวเสียกรุง พ.ศ.2310 นั้น กว่าพม่าจะตีกรุงศรีอยุธยาแตกต้องใช้เวลาถึง 14เดือน ด้วยกรุงศรีอยุธยารบเป็นสามารถ แต่ที่แพ้เพราะยุทธศาสตร์การตั้งรับโดยคอยฤดูน้ำหลาก ถูกพม่าตีโจทย์แตก ซึ่งต่างจากเอกสารของสยาม ที่ระบุว่าสยามเราแตกสามัคคี จึงพ่ายแพ้ให้แก่กองทัพพม่า อย่างไรก็ตามยุทธศาสตร์ในการป้องกันเมืองด้วยฤดูน้ำหลาก ก็สามารถรักษากรุงศรีอยุธยาให้เป็นราชธานี มีอายุยืนยาวมาได้ถึง 417 ปีครับ
พรุ่งนี้เล่าเรื่อง “บ้านสวนพลูกับการอยู่อย่างไทย” ที่ว่าด้วยการอยู่กับน้ำท่วมแบบไทยโบราณกันอีกวันหนึ่งครับ