
น้ำเหนือบ่า
น้ำเหนือบ่า : โดยวันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล
“น้ำเหนือบ่าเมื่อหน้าน้ำ ที่ลุ่มที่ต่ำก็นองด้วยน้ำทั่วไป จะมองไปทางทิศใด ก็เห็นแต่น้ำไหลนอง...”
ข้างต้นนั้นคือเพลง “น้ำเหนือบ่า” ซึ่งผู้ประพันธ์คือครูพิมพ์ พวงนาค เล่าไว้ว่า เมื่อสงกรานต์ ปี พ.ศ.2483 ท่านได้เดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อนๆ วันหนึ่งได้ไปที่น้ำตกห้วยแก้วมองดูสาวๆ ชาวเหนือที่มาเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันในระหว่างที่ดำผุดดำว่ายอยู่กลางแอ่งน้ำ ความแรงของน้ำที่ตกลงมาจากผาได้ทำให้ผ้าถุงที่กระโจมอกของหญิงสาวคนหนึ่งหลุดจากร่าง เมื่อกลับมากรุงเทพฯ ครูพิมพ์จึงได้แต่งเพลง “น้ำเหนือบ่า” ขึ้น และมอบให้ ด.ญ.จุรี โมรากุล ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นมัณฑนา โมรากุล ร้องเป็นเพลงแรกในชีวิต ต่อมาในปี พ.ศ.2485 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ เพลงนี้จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ในเวลาต่อมา น่าจะประมาณช่วง พ.ศ.2500 ต้นๆ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ได้แต่งเพลงที่ใช้ชื่อ “น้ำเหนือบ่า” เช่นเดียวกัน และมอบให้ ทูล ทองใจ นักร้องชั้นนำของวงดนตรีจุฬารัตน์ในขณะนั้นเป็นผู้ร้อง ซึ่งขึ้นต้นว่า “น้ำเหนือหลากมาไหลบ่าพัดวน เจิ่งท้นท่วมฝั่งสายชลไหลหลั่งระลอกพลิ้วลงใต้ ฝนเหนือตั้งเค้าทั่วไปเมฆดำคล้ำฟ้ารำไร แมกไม้ผลิใบรอฝนมา...” แต่เพลงของครูไพบูลย์ บุตรขัน เกี่ยวกับน้ำบ่า-น้ำท่วมที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ก็คือเพลง “น้ำท่วม” ซึ่งแต่งให้ ศรคีรี ศรีประจวบ ร้องเป็นเพลงแรกเมื่อประมาณ พ.ศ.2510-2513 ที่มีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งว่า “น้ำท่วมไต้ฝุ่นกระหน่ำซ้ำสอง เสียงพายุก้องเหมือนเสียงของมัจจุราชบ่น น้ำท่วมที่ไหนก็ต้องเสียใจด้วยกันทุกคน เพราะต้องพบกับความยากจน เหมือนคนหมดเนื้อสิ้นตัว...”
สภาพของพี่น้องชาวจังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา และอีกหลายจังหวัดในเวลานี้ ก็เป็นเช่นเพลง “น้ำท่วม” ของครูไพบูลย์ บุตรขัน ซึ่งน้ำท่วมปีนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ “ผืนนาก็ล่มไร่แตงก็จมเสียหายไปทั่ว” หากแต่น้ำท่วมบ้านเรือนจนต้อง “พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา น้ำตาไหลเคล้าสายชล” และที่ไม่ได้อยู่ในเพลงก็คือความเสียหายของโรงงานจำนวนมากในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง น้ำท่วมครั้งนี้จึงสร้างความสูญเสียอย่างมหาศาลแก่ภาคเกษตรกรรม ภาคสังคม และภาคอุตสาหกรรมซึ่งนั่นก็หมายถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยชนิดที่ไม่เคยประสบมาก่อน
อย่างไรก็ตามในสภาวะแห่งวิกฤติ คนไทยก็ได้แสดงให้ชาวโลกได้เห็นถึงน้ำใจที่เรามีต่อกัน และการไม่ทอดทิ้งกันในยามยาก นับตั้งแต่พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเจ้านายทุกพระองค์ ที่พระราชทานความช่วยเหลือต่อประชาชนภายในเวลาอันรวดเร็ว การดำเนินงานของรัฐบาลซึ่งเพิ่งจะเข้าบริหารประเทศได้เพียงสองเดือนเศษๆ การทุ่มเทปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายรวมทั้งทหารและตำรวจ การติดตามและนำเสนอข่าวอย่างใกล้ชิดของสื่อมวลชนโดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง และการร่วมมือร่วมใจทั้งกำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังใจ ของพี่น้องชาวไทยทุกหมู่เหล่า จึงทำให้สามารถแก้ไขหรือผ่อนปรนวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ได้เป็นอย่างมาก
และท่ามกลางความทุกข์ยากเดือดร้อนแสนสาหัส เราก็ยังได้เห็นภาพที่ก่อให้เกิดความชื่นใจหลายต่อหลายภาพ เช่นภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยพสกนิกร และพระราชทานคำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหาอยู่ตลอดเวลา ภาพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประทับรถพ่วงมอเตอร์ไซค์เยี่ยมเยียนราษฎร ภาพนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ กับคุณอภิสิทธิ์ หารือร่วมกันที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม (ศปภ). ภาพนายกฯ ยิ่งลักษณ์ลงเรือลำเดียวกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ภาพ ผบ.ทบ.นำทหารลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ จ.ปทุมธานี หรือภาพที่ประชาชนและบริษัทห้างร้านบริจาคสิ่งของบรรเทาทุกข์อย่างมากมาย เป็นต้น
ซึ่งภาพแบบนี้ก็คงมีแต่เมืองไทย ที่นี่ที่เดียว และน้ำเหนือหรือน้ำไหนๆ ก็คงจะสู้น้ำใจคนไทยไปไม่ได้หรอกครับ