ข่าว

'ปนม.'ปรับภารกิจเฝ้าระวังน้ำท่วม

'ปนม.'ปรับภารกิจเฝ้าระวังน้ำท่วม

15 ต.ค. 2554

'ปนม.'ปรับภารกิจ...เฝ้าระวังน้ำท่วม : สารพันตำรวจ โดยโต๊ะรายงานพิเศษ

          เรือตรวจการณ์ของตำรวจน้ำ "ปนม.13" และ "ปนม.14" ที่มาของชื่อย่อภารกิจ "ปราบปรามน้ำมันเถื่อน" วันนี้ต้องมาโต้สายน้ำอันเชี่ยวกรากอยู่ในกลางลุ่มน้ำเจ้าพระยา...หลังจาก 9 จังหวัดในพื้นที่เขตรับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 1 ประสบอุทกภัย พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รักษา?ราชการแทน?ผู้บัญชา?การตำรวจภูธรภาค 1 ต้องสลัดรองเท้าหนังมันวาวมาสวมรองเท้าบู๊ทลุยน้ำ-ลงเรือตรวจการณ์ ตรวจแนวปราการกั้นน้ำตลอดแนว พร้อมทั้งช่วยเหลือผู้ประสบภัย!!

           ด้วยความที่ระดับน้ำสูงเกือบถึงแนวกั้นน้ำทำให้เรือตรวจการณ์ทั้งสองลำต้องแล่นด้วยความเร็วที่จำกัด เพราะอาจทำให้เกิดคลื่นกระทบกับริมแนวกั้น รวมถึงน้ำเอ่อยังเข้าบ้านชาวบ้านด้วย เป้าหมายแรกอยู่ที่ "ประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำคลองบางหลวง-เชียงราก" วัดมะขาม จ.ปทุมธานี ซึ่งถือเป็นปราการด่านแรก หากทัพน้ำท่วมซัดแตกเสียแล้ว จะทำให้ระดับน้ำที่รังสิตและเมืองเอกท่วมสูงขึ้น และเป้าหมายที่ 2 อยู่ที่ "ประตูระบายน้ำปากคลองวัดสำแล" วัดสำแล ต.กระแซง อ.สามโคก ซึ่งเป็นปราการสำคัญอีกจุด เนื่องจากเป็นต้นทางของคลองประปา หากพังทลาย จะทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่ จ.นนทบุรี และกรุงเทพมหานครได้ ระหว่างที่กำลังเดินทางเห็นยายคนหนึ่งตะโกนเรียก พร้อมยกมือไหว้ขอความช่วยเหลือในสภาพศีรษะพ้นระดับน้ำ

           "ยายเป็นไงบ้างครับ" ตำรวจบนเรือตะโกนถาม

            "ไม่ไหวแล้ว" ยายบอกด้วยเสียงเครือๆ

            เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพยายามนำถุงยังชีพและน้ำดื่มเข้าไปให้ แต่ด้วยเรือค่อนใหญ่ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ โชคดีที่ขณะนั้นมีคุณลุงพายเรือไม้ผ่านกระน้ำเชี่ยวกรากมาพอดี จึงฝากถุงยังชีพไปให้คุณยายได้ หลังจากนั้นได้มีการประกาศผ่านโทรโข่งว่า "ถ้าใครมีเรือเล็กขอให้พายออกมารับของและน้ำดื่ม" ผู้ประสบภัยหลายหลังคาเรือนต่างพายเรือมารับสิ่งของบริจาคท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว

           เมื่อเสร็จภารกิจตรวจการณ์ด่านปราการเขื่อนกั้นริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 แห่งแล้ว ระหว่างที่จะกลับมีชาวบ้านโบกไม้โบกมือ เจ้าหน้าที่ตำรวจคิดว่าน่าจะต้องการถุงยังชีพ แต่กลายเป็นว่าชาวบ้านขอร้องให้ "ขับเรือเบาๆ หน่อยน้ำเข้าบ้าน" จนต้องขอโทษขอโพยกันยกใหญ่

            "เมื่อบินสำรวจพื้นที่ 9 จังหวัดในเขตความรับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 1 จะเหมือนบินอยู่กลางทะเลสาบ จนไม่รู้ว่าอันไหนแม่น้ำ อันไหนคลอง มองไม่ออกตรงไหนคือทุ่งนา และเมื่อมาถึงในเขตอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี จะเห็นสันเขื่อนกั้นน้ำอยู่ปริ่มน้ำมาก โดยเฉพาะปทุมธานี เมื่อคืนแตกไปรอบหนึ่งแล้วแต่ก็กู้ได้ หลังจากที่ดูแนวระดับน้ำในวันนี้แล้ว สิ่งที่ต้องทำและจะกลับไปรายงานศูนย์ที่ดอนเมือง อาจจะต้องเสริมคันกั้นน้ำสำรองขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง" พล.ต.ต.คำรณวิทย์ บอกถึงแผนรับมือ

           อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ยอมรับว่า วิกฤติน้ำท่วมที่เกิดขึ้น กำลังพลกว่า 1 หมื่นนายของตำรวจภูธรภาค 1 ต่างประสบภัยน้ำท่วมไม่ต่างกัน แต่ก็ต้องช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนก่อน ขณะที่โรงพักในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยาจมน้ำไปแล้ว 9 แห่ง ที่เหลืออยู่ก็ใช้บริการไม่ได้ ซึ่งได้กำลังพลจากกองบังคับการปราบปรามมาช่วยดูเรื่องการขโมย และจราจรกลางมาช่วยดูเรื่องเส้นทางจราจรการอพยพด้วย ตลอดจน ตชด.มาช่วยในการกั้นกระสอบทราย รวมทั้งตำรวจสันติบาลและหน่วยอื่น ๆ อีก 2,000 นาย ที่ถูกสั่งมาช่วยเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้

            "นอกจากนี้ ผมจะนำสปีดโบ๊ทที่ซื้อไว้แต่ไม่ได้ใช้งานอะไร มาไว้คอยช่วยเหลือชาวบ้านยามค่ำคืน เมื่อมีผู้แจ้งขอความช่วยเหลือมาทางสายด่วน 1111 กด 5" พล.ต.ต.คำรณวิทย์ บอกถึงความตั้งใจ