
ท่าเรือน้ำลึก-นิคมอุตสาหกรรมทวาย
ท่าเรือน้ำลึก-นิคมอุตสาหกรรมทวาย ส่วนหนึ่งของการนำไทยสู่บทบาทฮับ โดย มัทนา ลัดดาสิริพร
"โครงการทวายโปรเจกท์ รัฐบาลในชุดที่แล้วได้ผลักดันอย่างเต็มที่ จะเห็นว่าทางพม่าเอง มีความต้องการจะสร้างท่าเรือ สนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมหนัก เพื่อใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยง ต้องการให้ประเทศไทย ทั้งรัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งผมมองว่าโครงการนี้ มีความสำคัญในทุกระดับทั้งระดับภูมิภาคและระดับอาเซียน จึงต้องผลักดันให้เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด
รัฐบาลชุดที่แล้วได้เริ่มผลักดัน มาอย่างต่อเนื่อง และต้องการให้รัฐบาลชุดปัจจุบันสานต่อ โดยจะต้องมีแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงการก่อสร้างถนนหรือทำทางรถไฟ ประชาชนเองควรจะได้ใช้ประโยชน์จากโครงการนี้" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในการสัมมนา ไทยแลนด์ วิชั่น ประชาธิปัตย์ ฟอรั่ม“ เปิดประตูตะวันตก กาญจน์-ทวาย อนาคตใหม่ประเทศไทย
ขณะที่การเดินทางไปเยือนสหภาพพม่าอย่างเป็นทางการในวันพุธที่ 5 ตุลาคมนี้ ของนายกรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" สาระสำคัญที่ผู้นำรัฐบาลไทยหารือกับทางการพม่าก็คือ ขอให้พม่าช่วยผลักดันโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย (Dawei Deep Sea Port & Industrial Estate Project) หากพิจารณาจากท่าทีของอดีตผู้นำรัฐบาลไทย ต่อเนื่องมาถึงท่าทีของผู้นำปัจจุบันคือความชัดเจนอย่างยิ่ง ต่อการเล็งเห็นถึงศักยภาพที่จะเกิดขึ้นจากโครงการลงทุนของบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เอกชนไทยที่เข้าไปลงทุนในฝั่งพม่า เพื่อพัฒนาให้เกิดท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ภายใต้เงินลงทุนมากกว่า 3 แสนล้านบาท
สำหรับโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย คือโครงการร่วมมือระหว่างเอกชนไทยกับรัฐบาลสหภาพพม่า ด้วยแนวทางที่ต้องการพัฒนาให้เกิดพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การใช้ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงขนส่งทางบก ทางทะเล โดยมีที่ตั้งโครงการอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหภาพพม่า ห่างจากเมืองทวาย 30 กิโลเมตร ใช้พื้นที่เพื่อการพัฒนามากกว่า 4 แสนไร่ ประกอบด้วย ท่าเรือน้ำลึก 2 ท่า, นิคมอุตสาหกรรม โรงผลิตกระแสไฟฟ้า พื้นที่เพื่อการพาณิชย์
การดำเนินโครงการนี้ภายหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสหภาพพม่า ในปี 2553 ทางเอกชนไทยคือบริษัทอิตาเลียนไทย ได้ก่อสร้างถนนกาญจนบุรี-ทวาย จากบ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เชื่อมโยงถึงท่าเรือน้ำลึกทวาย ระยะทาง 160 กิโลเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2555 ภายใต้งบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท
โดยในระหว่างนั้นก็จะเริ่มดำเนินการเฟสที่สองคือ การก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย และเฟสที่สามคือ การสร้างเขตนิคมอุตสาหกรรม สำหรับนิคมอุตสาหกรรมมีพื้นที่ราว 2 แสนไร่ แบ่งพื้นที่เป็นโซนต่างๆ คือ โซน A Port & Heavy Industry โซน B -Oil & Gas Industry โซน C1 -Up Stream Petrochemical Complex โซน C2 -Down Stream Petrochemical โซน D -Medium Industry และโซน E - Light Industry
ทั้งนี้ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกของโครงการนี้ ยังสอดรับกับโครงการเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจในกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ตามกรอบความร่วมมือยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่ที่มีศักยภาพตามเส้นทางพัฒนา 3 แนวทาง คือ ทั้งระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor: EWEC ระหว่างเมืองดานัง เวียดนาม - เมืองเมาะละแหม่ง พม่า) และระเบียงเศรษฐกิจแนวใต้ (Southern Economic Corridor: SEC ระหว่างนครโฮจิมินห์ เวียดนาม - เมืองทวาย พม่า) รวมทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor: NSEC ระหว่างนครคุนหมิง จีนตอนใต้ - กรุงเทพฯ)
แม้ว่าโครงการลงทุนดังกล่าวจะอยู่ในฝั่งพม่า แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือหากโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายเกิดขึ้น ก็จะเอื้อให้ทั้งไทยและสหภาพพม่าได้รับประโยชน์ เพราะท่าเรือน้ำลึกทวายจะเสริมศักยภาพของการเป็นโลจิสติกส์ของประเทศไทย ด้วยเหตุที่ว่าท่าเรือน้ำลึกแห่งนี้จะมีบทบาทในการเป็นสะพานเศรษฐกิจ ถือเป็นพื้นที่เปิดในการกระจายสินค้าในระดับโลก เพราะสามารถเชื่อมโยงตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ มาทางมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน
จากเดิมสินค้าที่ส่งไปยุโรป แอฟริกา หรือตะวันออกกลางจะต้องผ่านทางช่องแคบมะละกาทำให้ใช้ระยะเวลาในการขนส่งนานถึง 16-18 วัน หากท่าเรือน้ำลึกทวายแล้วเสร็จจะช่วยร่นระยะเวลาการขนส่งในปัจจุบัน ซึ่งหากขนส่งจากทะเลจีนใต้มายังทะเลอันดามัน หรือจากเวียดนามมายังพม่าจะใช้เวลาเพียง 6 วัน ทำให้ช่วยลดระยะทางการขนถ่ายสินค้า และลดค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าได้มากขึ้น นี้คือปัจจัยที่เสริมสร้างศักยภาพของท่าเรือน้ำลึกแห่งนี้ที่เด่นชัด
ขณะเดียวกันท่าเรือน้ำลึกฝั่งเพื่อนบ้านแห่งนี้ ที่มีความยาวของชายฝั่งเป็นระยะทางรวม 12 กิโลเมตร ก็จะเป็นประตูเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงระหว่างท่าเรือน้ำลึกทวายกับท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เข้าด้วยกันตามยุทธศาสตร์การเชื่อมโยง สินค้าต่างๆ ที่มาจากยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ จะถูกส่งผ่านท่าเรือน้ำลึกทวายออกสู่ท่าเรือแหลมฉบัง ทั้งยังสามารถส่งผ่านไปยังประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ขณะที่ในส่วนของการขนส่งทางบก ถนนกาญจนบุรี-ทวาย ที่บริษัทอิตาเลียนดำเนินการจากบ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ไปถึงท่าเรือน้ำลึกทวาย ระยะทาง 160 กิโลเมตร ขณะที่ระยะทางจากทวายถึงกรุงเทพฯ มีระยะทางรวม 350 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์เพียง 4 ชั่วโมง นี่คือการเชื่อมโยงเครือข่ายการขนส่งที่จะบทบาทในเชิงเศรษฐกิจ
เมื่อโฟกัสมาที่จ.กาญจนบุรี สิ่งที่รัฐบาลที่ผ่านมาได้ให้การสนับสนุนก็คือ การจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมภูมิภาค ที่มีเป้าหมายผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนในพื้นที่จ.กาญจนบุรี เนื่องจากหากมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้น ด่านพุน้ำร้อนจะมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเขตประกอบการอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก เพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า เพื่อทำการรวบรวม และกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ อันจะสามารถเชื่อมโยงตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ มาทางมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน สนับสนุนให้เกิด
อุตสาหกรรมห้องเย็น
"ผมว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจขณะนี้เปลี่ยนไปแล้ว การลงทุนในไทยเองต้องยอมรับว่าเราเผชิญกับความท้าทายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแรงกดดันที่เกิดขึ้น เพราะความรู้สึกห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม จะเห็นได้ว่าแผนงานต่างๆ ที่รัฐบาลวางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรม หรือท่าเรือน้ำลึกที่ภาคใต้ ล้วนแต่เผชิญกับการต่อต้าน ดังนั้นการย้ายฐานไปลงทุนในฝั่งเพื่อนบ้าน คือทางออกที่ภาคเอกชนเห็นถึงความเป็นไปได้ โครงการทวายถือว่าเป็นเมกกะโปรเจค ผมไม่อยากให้มองว่านี่คือโครงการของเอกชน ในเมื่อโครงการนี้จะส่งผลดีต่อการพัฒนา" สมเจตน์ ทินพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัททวาย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ในเครือบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ระบุ
นี่คือภาพของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในภูมิภาค