ข้างหลังภาพเรียลิตี้โชว์'พระเกษม'
ข้างหลังภาพเรียลิตี้โชว์'พระเกษม อาจิณฺณสีโล' : มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ รายงาน
คลิปแสดงธรรมที่ดูไม่เหมาะสมของ พระเกษม อาจิณฺณสีโล เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ป่าสามแยก อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ที่ปรากฏบนยูทูบและเว็บไซต์ของวัดสามแยกถูกนำออกมาตีแผ่ผ่านแทบทุกสื่อ เป็นเหตุให้เกิดคำถามมากมายจากหลายๆ ส่วนของสังคม รวมไปถึงกระตุ้นให้มหาเถรสมาคมออกมาดำเนินการอย่างเฉียบขาด หลังจากเมื่อหลายปีก่อนท่านได้ทำลายพระพุทธรูปเพื่อเป็นปริศนาธรรมแก่ผู้คนอย่าติดในสมมติบัญญัติ แต่ให้กลับมาหาแก่นแท้แห่งธรรมในตน ด้วยการขัดเกลากิเลสตามรอยพระพุทธองค์
หากแต่ว่าด้วยกุศโลบายอันดูแข็งกร้าว และไม่เกรงใครทำให้วิธีการที่ท่านสอน นอกจากไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมวงกว้าง ยังเคยถูกดำเนินคดีมาด้วย
เมื่อสอบถามถึงที่มาของการแสดงธรรมอันโลดโผน ท่านอธิบายว่า ที่ทำไปตั้งใจกวนกระแสให้ตื่นขึ้น ถามว่าเรียบร้อยไหม เหมาะกับสมณสารูปไหม มันก็ไม่เหมาะ แต่มันเป็นอุบายอย่างหนึ่ง ตั้งใจกระตุ้นให้มหาเถรสมาคมแข็งแรงขึ้น
"อาตมาศึกษาแล้ว ถ้ามุ่งอรรถ มุ่งธรรม เป็นอาบัติหรือไม่ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่เป็นอาบัติ"
ท่านย้ำว่า ปกครองที่วัดสามแยกนี้โดยหลักธรรมวินัย แต่ผู้อื่นทำไมไปปกครองกันโดยเงิน ปกครองกันโดยรถเฟอร์รี่ ฟอร์จูนเนอร์ มันถูกต้องเมื่อไหร่ เดินลงจากรถเท่ๆ อย่านั้นหรือ จึงเรียกว่าคนบารมีดี ที่เราเอาพระธรรมวินัยออกมาก็เพื่อจะบอกว่า อยู่ป่า อยู่ดง อยู่มอซอเท่าไหร่ก็ตาม ขอให้ถูกตามพระธรรมวินัย ความสุข เบาใจ ยิ่งก่อให้เกิดความถูกต้อง เราอยากกระตุ้นฝ่ายมหาเถรสมาคมให้แข็งแกร่ง ทำงานได้ อย่าไปกวนพระเล็กพระน้อยตามป่าตามดงที่เขาถือตรงกับพระธรรมวินัย
"แต่นี่วัดเล็กวัดน้อยที่ไหนก็จะให้เขาขึ้นบัญชี มีบัญชีเงินฝาก จัดตั้งให้เขาเป็นสำนัก แล้วให้เขาเป็นเจ้าอาวาส ส่งเงินเดือนให้ เดือนละสองพันสามพัน เราเลยว่าเอา เขาก็ส่งเจ้าหน้าที่มาคุมเรา คุมให้เราเปิดบัญชี ให้รับเงินมา แต่ว่าเราไม่เอา ทำไม่ได้ ถ้ารับไปก็จะเดือดร้อนชาวบ้านที่อุปถัมภ์เราอยู่ที่นี่ เราไม่ได้ทำเพราะต่อต้าน ไม่ได้ทำเพื่อหักล้างใคร มหาเถรมาคมเราก็เคารพ แต่เราจะถือตามท่านเหล่านั้น ไม่ได้ เท่านั้นเอง"
ชีวิตการบวชเรียนของพระเกษม เริ่มต้นเมื่ออายุ 26 ปี กับ หลวงปู่ทิม ชาคโร วัดไชยยาราม จ.อุดรธานี หลังจากคุณตาเสียชีวิต และต้องการให้ท่านบวช เมื่อบวชไปได้เพียงอาทิตย์เดียว วันที่จะสึกนั่งสมาธิ จิตรวมดับไปวันหนึ่งไม่รู้ตัว ตื่นมาผ่านไป 16 ชั่วโมง ท่านแปลกใจว่า เพศนักบวชดีอย่างนี้หรือ จึงตกลงไม่สึก ร่อนเร่หาครูบาอาจารย์ปฏิบัติไปเรื่อย
5 พรรษาแรกอยู่ที่วัดป่าโพธิ์ชัย จ.อุดรธานี สาขาเดียวกับ หลวงปู่สีทน สีลธโน แห่งวัดถ้ำผาปู่นิมิตร บ้านนาอ้อ จ.เลย แล้วไปอยู่กับ อาจารย์เฮียง วัดข้างๆ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) จ.มุกดาหาร ในคราวที่อยู่กับอาจารย์เฮียง (ลาสิกขาไปแล้ว) เมื่อมีปัญหาในการภาวนาขึ้นมา ท่านบอกให้พระเกษมให้ไปหาหลวงปู่หล้าเท่านั้น
"อาตมาหมั่นไปหาความรู้กับท่าน แล้วท่านก็สั่งให้อ่านพระไตรปิฎกด้วย ท่านจี้ให้ปฏิบัติตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง แก้ไขจิตใจอย่างนั้นอย่างนี้ จนเราเห็นธรรมชาติชั้นละเอียดชั้นหยาบ ทั้งทิพย์ไม่ทิพย์ ท่านว่าอันนั้นไม่ใช่สาระ ท่านให้ถอนตัวผู้รู้ที่ไปดูผู้อื่น แทนที่จะไปเห็นเขา ก็มาเห็นตัวที่ไปรู้นี้ เราก็ทำตามท่าน จิตใจก็เบาขึ้นๆ จนมาเดี๋ยวนี้แหละ เราเกิดความกล้าหาญตั้งแต่บวชได้สองพรรษา คือกล้าหาญที่จะทำตามหลักธรรมวินัยให้เต็มยิ่ง จากนั้นเราก็ไปวัดป่าบ้านตาด ไปถามหลวงตามหาบัว เรื่องการภาวนาบ้าง ท่านก็เมตตาให้คำแนะนำอบรม อาจารย์เราสององค์ชัดเจนคือ หลวงตาวัดป่าบ้านตาด และหลวงปู่หล้า"
"มีครูบาอาจารย์มาขอร้องให้เราหาเงินช่วยหลวงตา พอเราไม่ร่วมหา เขาบอกว่าอย่างนี้ไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงตาแล้วนะ แต่เราได้ยินพ่อแม่ครูอาจารย์ (หลวงตามหาบัว) ฝากลูกศิษย์มาบอกเราว่า พระรูปไหนจะพูดอย่างไรก็เรื่องของเขา มึงอย่าสน กูไม่ได้ว่ามึงไม่ใช่ลูกศิษย์ ไม่ใช่ลูกศิษย์จะเป็นอะไร คนเคยอบรมสั่งสอนกัน แม้คำเดียวก็ถือกันเป็นอาจารย์ได้ เราก็ไม่ว่าอะไร ถ้าเขาว่าไม่ให้เป็นลูกก็ปล่อยให้ว่าไป หลวงตาท่านก็ว่า ไม่เป็นไร ที่กูหาเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะกูสงสารประเทศไทย" พระเกษมอธิบาย
พระครูอรรถกิจนันทคุณ (นพดล นันฺทโน) เจ้าอาวาสวัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร หนึ่งในคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์ของวัดป่าบ้านตาด ชี้แจงต่อประเด็นที่พระเกษมกล่าวถึงหลวงตามหาบัวว่า ไม่เคยมีใครไปอ้อนวอนให้พระเกษมมาช่วยหลวงตา
"หลวงตาท่านพูดเลยว่า ใครไม่ช่วยก็ไม่ต้องช่วย ถ้าเคารพต่อกันก็ทำไปตามความคิดของท่าน ทุกอย่างวิจารณ์กันได้ ประวัติของพระเกษมก็เคยตำหนิหลวงตา การทำพระเจดีย์ ท่านก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แต่ไม่ต้องมาตำหนิ มีคนเอาทองมาให้หลวงตา ท่านก็บอกว่าพอใจ จะว่าท่านผิดก็ผิดนะ แต่ใครจะไปว่าหลวงตาล่ะ ท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวท่านเองเลย ท่านเกษมก็ไม่ได้หวังดัง เพียงแค่อยากให้ความเห็นของตัวเองให้คนยอมรับ แต่ไม่สำเร็จ เพราะคนไม่ยอมรับ ท่านเกษมเป็นอย่างนี้มานานแล้ว จนไม่มีใครอยากไปตอแยกับท่าน ท่านเถียงเก่ง ใครไปก็แพ้คารมท่านทุกที เพราะความคิดท่านพิสดารเหนือคนอื่น คนที่คิดพิสดารอย่างนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ก็จะไม่มีพวก"
ในช่วงท้าย พระอาจารย์นพดลบอกว่า "เขาเรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส คือเมื่อเริ่มปฏิบัติเข้าสู่วิปัสสนาแล้ว ก็มาเจอตัวนี้เป็นตัวกางกั้น คิดว่าตัวเองบรรลุ แต่ยัง ในที่สุด ด้วยความมุ่งมั่นของท่าน ก็จะทำให้ท่านเกิดปัญญาขึ้นได้เองเหมือนกัน ถ้าท่านนิ่งๆ เสีย ไม่เพ่งโทษคนอื่น ไม่สอนคนอื่น ดูตัวเอง เดี๋ยวธรรมชาติจะสอนตัวท่านเอง"