ข่าว

กระเป๋าเงิน'ชูวิทย์'หลังยึดทรัพย์!

กระเป๋าเงิน'ชูวิทย์'หลังยึดทรัพย์!

30 ก.ย. 2554

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! หลังแฉบ่อนกลางกรุง 'ชูวิทย์' โดนยึดทรัพย์ ถูกศาลตัดสิน 'ฟอกเงิน' ธุรกิจอาบอบนวด ปรากฎชัดเป็นเจ้าของสถานบริการค้าประเวณี ให้เงินฝาก-หุ้นบริษัทเรียบ ตกเป็นของแผ่นดิน

          กลับมาเป็นที่สนใจของสาธารณชนอีกครั้ง หลังจากเจ้าของฉายา “เจ้าพ่ออ่าง” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบสัดส่วน หัวหน้าพรรครักประเทศไทย หลังจากเปิดโปงกรณีบ่อนกลางกรุง จนเป็นประเด็นต่อขยายทำให้การโยกย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) สั่นสะเทือนกันมาแล้ว ล่าสุดออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเสนอให้มีการก่อสร้างคาสิโนที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

          กระทั่งวันที่ 29 ก.ย. ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ และบริษัทโฮ แปซิฟิค จำกัด ผู้คัดค้านที่ 1 - 2 รวม 6 รายการ มูลค่า 3,489,453.46 บาท พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3

          โดยคดีนี้ผู้คัดค้านทั้ง 2 ยื่นคำให้การว่า ไม่ได้ดำเนินธุรกิจที่เป็นธุระจัดหาเพื่อค้าประเวณี และไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการค้าประเวณี โดยนายชูวิทย์ ผู้คัดค้านที่ 1 ถูกกล่าวหาในคดีอาญาแต่ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องแล้ว ดังนั้นทรัพย์สินดังกล่าวจึงไม่ใช่ของผู้คัดค้านที่ 1 แต่เป็นของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งได้มาโดยสุจริตจากทางการค้า จึงขอให้ศาลยกคำร้องซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วให้ยกคำร้องของอัยการ ผู้ร้อง ขณะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้คืนทรัพย์สินตามคำร้องแก่ผู้คัดค้าน ต่อมาอัยการผู้ร้องยื่นฎีกา

          ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมศึกษาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องระบุว่า จากการสอบสวนเกี่ยวกับการกระทำผิดมูลฐานได้ความว่า นายชูวิทย์ ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด เทอร์เม่ ที่ถือใบอนุญาตสถานบริการ และเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ที่เปิดสถานบริการ อาบอบ นวด ฮอนโนลูลู ที่ใช้ใบอนุญาตสถานบริการของห้างหุ้นส่วนจำกัด เทอร์เม่ และนายชูวิทย์ ผู้คัดค้านที่ 1 ยังเป็นกรรมการบริษัทในเครือเดวิส กรุ๊ป ส่วนบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ยังเป็นผู้สั่งซื้อถุงยางอนามัยจากบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะในปี 2545 ได้สั่งซื้อถุงยางเป็นเงินถึง 112,559.95 บาท

          และจากรายงานการตรวจสอบสถานบริการอาบอบนวดในเครือเดวิส กรุ๊ป ก็พบถุงยางอนามัยใช้แล้วจากกองขยะของสถานบริการโคปาคาบาน่า และบาบาล่า 153 ถุง สถานบริการเอ็มมานูเอล 30 ถุง สถานบริการฮอนโนลูลู 9 ถุง และยังมีพยานให้การยืนยันว่า มีผู้พาไปทำงานเป็นพนักงานนวดที่สถานบริการอาบ อบ นวด ฮอนโนลูลู ที่จัดให้พนักงานนวดทุกคนร่วมประเวณีกับลูกค้าที่มาใช้บริการ โดยการสมัครเข้าทำงานจะต้องตรวจรูปร่างหน้าตาและร่างกายโดยไม่สวมเสื้อผ้า ตรวจโรค ตรวจเลือด และตรวจภายใน และการฝึกสอนวิธีการอาบน้ำให้กับลูกค้า ซึ่งค่าตอบแทนจะได้รับรอบละ 1,900 บาท ซึ่งวันหนึ่งจะทำงานได้ 3-5 รอบ จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายชูวิทย์ ผู้คัดค้านที่ 1 และบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ

          ขณะที่ผู้คัดค้านทั้ง 2 นำสืบว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ให้ปิดป้ายห้ามค้าประเวณีที่สถานบริการอาบ อบ นวด ฮอนโนลูลู ส่วนบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขา ถนนพระราม 9 และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา ถนนรัชดาภิเษก - ห้วยขวางเปิดไว้เพื่อรับชำระค่าบริการจากผู้ใช้บริการที่ชำระด้วยบัตรเครดิต ขณะที่การซื้อถุงยางของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ก็นำมาเพื่อจำหน่ายให้ร้านมินิมาร์ทของสถานบริการ เหมือนกับร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยยืนยันว่าผู้คัดค้านทั้ง 2 ไม่ได้กระทำความผิด และทรัพย์สินได้มาด้วยความสุจริต

          ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องมีพยาน 2 ปาก ซึ่งทำงานเป็นพนักงานอาบ อบ นวด ที่สถานบริการจูเลียน่า และฮอนโนลูลู ให้การเกี่ยวกับรายละเอียดตั้งแต่การไปสมัครงาน การให้บริการลูกค้า และยังระบุอีกว่าหากไม่ยอมให้บริการทางเพศกับลูกค้าจะถูกนายสมชาย เจนใจ ทำร้ายพยานทั้ง 2 และยังมีพ.ต.ท.วัจฉลิน วารินหอมหวน พนักงานสอบสวนสน.มักกะสัน เป็นพยานผู้ร้องเบิกความว่า ต้นปี 2546 เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ห้วยขวางจับกุมนายสมชายกับพวกในข้อหาเป็นธุระจัดหาค้าประเวณี หลังจากมารดาของหญิงสาวที่ทำงานในสถานบริการฮอนโนลูลูเข้าแจ้งความ โดยผู้บังคับบัญชามอบหมายให้พยานร่วมร่วมทำการสอบสวนกับสน.ห้วยขวาง เพราะสถานบริการอาบ อบ นวด ฮอนโนลูลู อยู่ในพื้นที่สน.มักกะสัน

          โดยพยานร่วมกับมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรีร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุไม่พบร้านค้ามินิมาร์ทและป้ายห้ามค้าประเวณี ต่อมาได้ประสานกับสำนักงาน ปปง. ดำเนินคดีกับผู้คัดค้าน นอกจากนี้ ก็ยังมีพยานผู้ร้อง ซึ่งได้กระทำการในลักษณะล่อซื้อการค้าประเวณี เห็นว่าพยานทุกปากไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้คัดค้านทั้ง 2 มาก่อน โดยเฉพาะพยานที่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้ง ปรักปรำผู้คัดค้านทั้ง 2 และแม้บริษัทผู้คัดค้านที่ 2 จะมีกฎระเบียบการทำงานของพนักงานโดยห้ามค้าประเวณีหรือมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าในห้องนวดก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงหน้าเชื่อว่าเป็นกฎระเบียบที่ออกไว้เป็นพิธีโดยไม่มีการปฏิบัติตามแต่อย่างใด

          เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของสถานการค้าประเวณีดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่าผู้คัดค้านทั้ง 2 มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการกระทำที่เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 วรรคหนึ่ง (2) พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้คัดค้านที่ 1 จะถูกจับกุมตัวหรือจะต้องคำพิพากษาของศาลว่าเป็นผู้กระทำผิดและถูกลงโทษในคดีอาญาหรือไม่ ซึ่งตามบทบัญญัติกฎหมายการฟอกเงินให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาทรัพย์สินทั้ง 6 รายการตามร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ซึ่งภาระพิสูจน์จะตกอยู่ที่ผู้คัดค้านทั้ง 2 ซึ่งผู้คัดค้านที่ 2ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าได้ทรัพย์สินทั้ง 6 รายการมาโดยสุจริต กรณีจึงไม่มีเหตุให้ศาลคืนทรัพย์สินดังกล่าวกับผู้คัดค้าน ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยกคำร้องของอัยการผู้ร้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

          จึงพิพากษากลับว่า ให้เงินในบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขา ถนนพระราม 9 และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา ถนนรัชดาภิเษก ห้วยขวาง ที่มีเงินเหลืออยู่จำนวน 127,725.06 บาท และ 17,128.40 บาท รวมทั้งหุ้นบริษัทเดวิส ไดมอนด์ สตาร์ จำกัด หุ้นบริษัทเดวิส โคปาคาบาน่า จำกัด หุ้นบริษัทเดวิส โกลเด้นสตาร์ จำกัด และหุ้นบริษัทเดวิส ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด รวม 33,446 หุ้น มูลค่า 3,344,600 บาท พร้อมด้วยดอกผลของทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน

          จากประเด็นข่าวดังกล่าวทำให้นักการเมืองผู้นี้เป็นที่จับตาอย่างยิ่งในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง ทางศูนย์ข้อมูล& ข่าวสืบสวน ฯ www.tcijthia.com  จึงรวบรวมข้อมูลให้ประชาชนโดยทั่วไปได้รู้จักนักการเมืองคนนี้มากยิ่งขึ้น 

          นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย  ในวัย 50 ปี  เข้ารับตำแหน่งสส.ในวันที่ 2 สิงหาคม 2554  เป็นบุตรชายของนายเจริญ และนางจำเนียร กมลวิศิษฎ์ มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน  นายชูวิทย์เป็นที่รู้จักกันในนาม “เสี่ยอ่าง” เนื่องจากเป็นเจ้าของกิจการสถานประกอบการอาบอบนวดย่านดินแดง-ห้วยขวาง 

          ปัจจุบันมีบุตรทั้งหมด 5 คน เป็นบุตรในสมรส 4 คน และบุตรนอกสมรสที่รับรองแล้ว 1 คน ประกอบด้วย 1.นายต้นตระกูล กมลวิศิษฎ์ อายุ 21 ปี  2.นายเติมตระกูล กมลวิศิษฎ์ อายุ 19 ปี  3. นางสาวตระการตา กมลวิศิษฎ์ อายุ 18 ปี  4.นายต่อตระกูล กมลวิศิษฎ์ อายุ 15 ปี  และ 5. ด.ญ.ดวงตระการ กมลวิศิษฎ์ อายุ 10 ปี

          ปัจจุบันนายชูวิทย์ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทต่างๆดังนี้

          -กรรมการ (ปี2550-2554)

          บจก.ต้นตระกูล 909 ซ.สุทธิสาร ถ.รัชดาภิเษก ดินแดง กทม.

          -กรรมการ(ปี2550-2554)

          บจก.สมบัติ เติมตระกูล 88 ซ.สุขุมวิท24 ถ.สุขุมวิท คลองเตย กทม.

          -กรรมการ (ปี2550-2554)

          บจก.ภาติฌาน 88/8 ซ.สุขุมวิท 24 ถ.สุขุมวิท คลองเตย กทม.

          -กรรมการ(ปี2550-2554)

          บจก.สุขุมวิท ซิลเวอร์ สตาร์ 88/8 ซ.สุขุมวิท 24 ถ.สุขุมวิท คลองเตย กทม.

          -กรรมการ (ปี2550-2554)

          บจก.ทรัพย์สินตระการตา 88/8 ซ.สุขุมวิท24 ถ.สุขุมวิท คลองเตย กทม.

          -กรรมการ(ปี2550-2554)

          บจก.บุญต่อตระกูล 88/8 ซ.สุขุมวิท 24 ถ.สุขุมวิท คลองเตย กทม.

          -กรรมการ(ปี2550-2554)

          บจก.เดวิส ซิลเวอร์สตาร์ แมเนจเม้นท์ 88/1,88/7,88/9-10 ซ.สุขุมวิท 24

          -กรรมการ(ปี2550-2551)

          บจก.คงอยู่ตลอดกาล

          -กรรมการ(ปี2550-2551)

          -บจก.เดวิสเอ็นเตอร์ไพรซ์

          -กรรมการ (ปี2550-2551)

          บจก.เจริญจำเนียรกาล

          นายชูวิทย์ มีรายได้ต่อปีจากการเป็นกรรมการในบริษัทเอกชน มูลค่า 1,022,225 บาท และมีรายได้จากการขายทรัพย์สินที่ดิน 4 แปลง โฉนดเลขที่ 98426-7.98436-7 มูลค่า 8,500,000 บาท รวมรายได้ 9,522,225 บาท  โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่อปีคิดเป็นเงิน 240,000 บาท ค่าใช้จ่ายสำหรับบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทั้ง 4 คนเป็นเงินมูลค่า 720,000 บาท

          ทั้งนี้ นายชูวิทย์ยังผ่อนบ้านและคอนโดมิเนียมคิดเป็นเงิน1,015,200 บาท ต่อปี บวกกับเงินที่ใช้ในการเล่าเรียนของบุตรทั้ง 5 คน คิดเป็นเงิน 400,000 บาท  รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวทั้งสิ้น 1,255,200  ค่าใช้จ่ายสำหรับเลี้ยงดูบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอีก 1,120,000บาท

          นอกจากนี้นายชูวิทย์ ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)พบว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 874,651,632.25  โดยมีทรัพย์สินส่วนตัวทั้งสิ้น 174,714,568.44 และทรัพย์สินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อีก 699,937,063.81 โดยมีหนี้สิน 9,7236,875.62 บาท

          อย่างไรก็ตามภายหลังจากการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช.แล้วนั้น ทางศาลแพ่งอ่านคำตัดสินศาลฎีกาให้เงินในบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขา ถนนพระราม 9 และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา ถนนรัชดาภิเษก ห้วยขวาง ที่มีเงินเหลืออยู่จำนวน 127,725.06 บาท และ 17,128.40 บาท รวมทั้งหุ้นบริษัทเดวิส ไดมอนด์ สตาร์ จำกัด หุ้นบริษัทเดวิส โคปาคาบาน่า จำกัด หุ้นบริษัทเดวิส โกลเด้นสตาร์ จำกัด และหุ้นบริษัทเดวิส ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด รวม 33,446 หุ้น มูลค่า 3,344,600 บาท พร้อมด้วยดอกผลของทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน

          แต่ปรากฏว่า จากรายละเอียดการแสดงรายการทรัพย์สินในส่วนของบัญชีเงินฝากและการแสดงรายการในส่วนเงินลงทุนไม่ตรงกับคำพิพากษาของศาลแต่อย่างใด ทางศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนฯ www.tcijthai.com ได้ตรวจสอบพบว่า การแสดงบัญชีทรัพย์สินที่นายชูวิทย์ แสดงต่อป.ป.ช.มีรายละเอียดดังนี้

          1.ธ.กรุงเทพ จำกัด(มหาชน)สำนักงานสีลม

          เลขที่บัญชี  101-0-53687-6

          จำนวนเงิน 438.72

           ลำดับที่1-6เป็นของนายชูวิทย์

          2.ธ.กรุงเทพ จำกัด(มหาชน)สาขาตลาดยิ่งเจริญ

          เลขที่บัญชี 935-0-10050-0

          จำนวนเงิน 1,305.37

           ลำดับที่1-6เป็นของนายชูวิทย์

          3.ธ.กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) สาขาถนนเทียนร่วมมิตร

          เลขที่บัญชี 301-1-18658-9

          จำนวนเงิน 57,988.11

          ลำดับที่1-6เป็นของนายชูวิทย์

          4.ธ.กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) สาขาเควิลเลจ

          เลขที่บัญชี 649-0-00021-4

          จำนวนเงิน 6,630

          ลำดับที่1-6เป็นของนายชูวิทย์

          5. ธ.กสิกรไทย จำกัด(มหาชน) สาขารัชดาภิเษก-ห้วยขวาง 089-2-80001-6 16,181.68 ถูกศาลตัดสินให้ตกเป็นของแผ่นดิน

          6.ธ.กรุงไทย จำกัด(มหาชน)สาขารัฐสภา

          เลขที่บัญชี 089-0-00414-5

          จำนวนเงิน 1,024.56

          ลำดับที่1-6เป็นของนายชูวิทย์

          7. ธ.กรุงเทพ จำกัด(มหาชน)สาขาถนนพระราม9 215-0-68041-7 17,695.5200 ถูกศาลตัดสินให้ตกเป็นของแผ่นดิน

          8.ธ.กสิกรไทย จำกัด(มหาชน) สาขาเอสพละนาด

          เลขที่บัญชี 777-2-16563-8

          จำนวนเงิน 225,729.63

          ลำดับ7-17 เป็นของบุตร

          9. ธ.กรุงเทพ จำกัด(มหาชน)สาขาถนนพระราม9 215-0-68042-5 64.16 ถูกศาลตัดสินให้ตกเป็นของแผ่นดิน

          10.ธ.กรุงเทพ จำกัด(มหาชน)สาขาเอสพะนาด

          เลขที่บัญชี 877-014133-4

          จำนวนเงิน 17,620.37

           ลำดับ7-17 เป็นของบุตร

          11.ธ.กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) สาขาสุขุมวิท 35

          เลขที่บัญชี 116-1-39593-8

          จำนวนเงิน 2,004.59

          ลำดับ7-17 เป็นของบุตร

          12.ธ.กรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาคลองเตย

          เลขที่บัญชี 175-4-19387-6

          จำนวนเงิน 5,001,909.13

          ลำดับ7-17 เป็นของบุตร

          13. ธ.กรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาพระราม9 215-0-68043-3 2,501.78 ถูกศาลตัดสินให้ตกเป็นของแผ่นดิน

          14 ธ.กรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาพระราม9 215-0-68044-1 169.8400 ถูกศาลตัดสินให้ตกเป็นของแผ่นดิน

          15.ธ.ออมสิน สาขาพร้อมพงษ์

          เลขที่บัญชี 020-0-1553436-3

          จำนวนเงิน19,242.08

           ลำดับ7-17 เป็นของบุตร

          16.ธ.ธนชาต สาขาเทสโก้โลตัสพระราม4

          เลขที่บัญชี 153-2-00809-1

          จำนวนเงิน 5,025.04

          ลำดับ7-17 เป็นของบุตร

          17.ธ.ไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)สาขาย่แยคาร์ฟู พระราม4

          เลขที่บัญชี 401-065827-9

          จำนวนเงิน 601.67

           ลำดับ7-17 เป็นของบุตร

ด้านเงินลงทุน

          1.บ.ภาติฌานจำกัด

          หมายเลข 439901-44000

          จำนวนหุ้น 100

          วันที่ได้มา 18/01/2553

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 10,000.00

          2.บ.ต้นตระกูลจำกัด

          หมายเลข 1699901-1700000

          จำนวนหุ้น 100

          วันที่ได้มา 30/04/2552

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 10,000.00

          3.บ.สุขุมวิท ซิลเวอร์ สตาร์จำกัด

          หมายเลข  24999001-2500000

          จำนวนหุ้น 100

          วันที่ได้มา 30/04/2552

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 10,000

          4.บ.สมบัติเติมตระกูล จำกัด

          หมายเลข 1699901-170000

          จำนวนหุ้น 100

          วันที่ได้มา 30/04/2552

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 10,000

          5.บ.ทรัพย์สินตระการตา จำกัด

          หมายเลข 29981-30000

          จำนวนหุ้น 20

          วันที่ได้มา 18/03/2553

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 2,000

          6.บ.บุญต่อตระกูล จำกัด

          หมายเลข 29981-30000

          จำนวนหุ้น 20

          วันที่ได้มา 18/03/2553

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 2,000

          7.บ.เดวิส ซิลเวอร์สตาร์ แมเนจเม้นท์ จำกัด

          หมายเลข 9991-10000

          จำนวนหุ้น 10

          วันที่ได้มา 30/04/2552

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 1,000

          8.บ.ภาติฌาน จำกัด

          หมายเลข 334301-358500

          จำนวนหุ้น 24,200

          วันที่ได้มา 18/03/2553

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 2,420,000

          9.บ.ต้นตระกูล จำกัด

          หมายเลข 000001-420725

          จำนวนหุ้น 420,725

          วันที่ได้มา 30/04/2552

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 42,072,500

          10.บ.สุขุมวิท ซิลเวอร์ สตาร์ จำกัด

          หมายเลข 000001-612475

          จำนวนหุ้น 612,475

          วันที่ได้มา 30/04/2552

          ตามตราสาร 100

          ณ วันแสดงบัญชี 61,247,500

 

......................

(หมายเหตุ : ที่มา :  ศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวน ฯ www.tcijthai.com)