
หัวใจใส่เกียร์'อภิชาติ ลีนุตพงษ์'
ขอเวลานอก : หัวใจใส่เกียร์ 'อภิชาติ ลีนุตพงษ์' : เรื่อง กรรณิกา ใจจำนงค์ , ภาพ สุกล เกิดในมงคล
คุณเชื่อหรือไม่ว่าชีวิตคนเราทุกวันนี้ในหน้าการงานที่ต้องดิ้นรน รวดเร็วเพื่อแข่งขันกันในแง่ของธุรกิจ แต่ในการดำเนินชีวิตส่วนตัวหลายต่อหลายคนเลือกที่จะเดินช้าๆ อย่างมีสติ เฉกเช่นเดียวกับหนุ่มหน้าใส "นัท" อภิชาติ ลีนุตพงษ์ กรรมการผู้จัดการดูคาติ จำกัด ที่ชีวิตการทำงานต้องเร่งรีบแข่งขันเพื่อจะขายรถมอเตอร์ไบค์คันหรูที่มีสมรรถนะความเร็วกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เมื่อมีชีวิตของตัวเองกับภรรยา ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์ และ ลูกชายวัย 3 ขวบ 8 เดือน "น้องธีทัต" ก็จะเดินอย่างช้าๆ และ นิ่งๆ ตามแบบฉบับที่ได้ซึมซัมมาจากภรรยา
"ผมจำได้ว่าตั้งแต่โตมาและพอจะรู้เรื่อง ในวันที่ญาติพี่น้องเจอกันก็จะคุยกันแต่เรื่องของธุรกิจ การลงทุนเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนทำเอาผมต้องขวนขวายที่จะรู้เรื่องธุรกิจและถูกซึมซับเรื่องราวเหล่านี้มาตลอด จนทำให้วางแผนชีวิตที่จะเดินออกมาเพื่อทำงานมาตั้งแต่วัยเด็ก ไล่เลียงตั้งเรียนปริญญาตรีที่จุฬาลงกรณ์ ไปจนถึงเรียนปริญญาโทด้านเอ็มบีเอที่สหรัฐอเมริกา จนมาเจอแฟนผมคนนี้แหละที่เมื่อพูดคุยกันแล้วก็เกิดความรู้สึกอบอุ่น พาผมเข้าวัดทำบุญ ฟังธรรมะ และพูดคุยกันในทุกเรื่อง จึงทำให้ผมอยากมีชีวิตส่วนตัวที่ช้าๆ เพราะการที่เราช้าลงก็ทำให้สติอยู่ตัวได้อย่างมั่นคงนะ" ชายหนุ่มวัย 36 แจงเป็นการเริ่มต้น
และก่อนที่จะพูดคุยกันต่อนั่นเจ้าตัวขอเวลาไปเปลี่ยนชุดลงสนามฟุตบอลเพราะใกล้หมดเวลาที่จองไว้ ซึ่งความตั้งใจเดิมคือจะขี่มอเตอร์ไซค์จากช็อปดูคาติในซอยทองหล่อ 23 มาที่สนามฟุตบอลอารีน่าในซอยทองหล่อ 10 เพื่อลงสนามฟาดแข้งกับพนักงานในบริษัท แต่ด้วยติดประชุมด่วนกว่าจะปลีกตัวได้ก็เลยเวลาจองสนามฟุตบอลไปว่าครึ่งชั่วโมง เจ้าตัวจึงขอขับรถคันหรูไปสนามเพื่อลงเตะบอลกับทีมงานก่อน ด้วยตั้งใจที่จะลงสนามเตะบอลมานานแล้ว
"ผมชอบเตะบอลนะ เริ่มจากเรียนมัธยมอยู่เซนคาเบรียลก็เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน แล้วพอมาเรียนจุฬาฯ ก็เป็นนักกีฬาฟุตบอลของคณะรัฐศาสตร์ ซึ่งก็มีความตั้งใจจะไปเล่นทีมมหาวิทยาลัยเหมือนกัน แต่เจอแค่รอบคัดเลือกให้วิ่งรอบสนาม 20 รอบก็ไม่ไหวแล้ว โบกมือลาเลยดีกว่า แล้วคนที่มาคัดเขาก็เก่งๆ ตัวทีมชาติทั้งนั้น ผมจะเอาอะไรไปสู้ มาเล่นให้กับคณะดีกว่า" นักบริหารหนุ่ม ตอบเราแค่นี้ก่อนขอตัวลงสนามฟาดแข้งกับทีมงานก่อน
ซึ่งลีลาในสนามขัดกับหุ่นผอมบางของเจ้าตัวเป็นอย่างมาก ด้วยความพลิ้วไหวหลบหลีกทีมตรงข้ามเป็นไปอย่างมีชั้นเชิงบอกให้รู้ว่าเป็นนักฟาดแข้งตัวจริงไม่มีเม้าท์ แล้วคุณพ่อลูกหนึ่งคนนี้ก็เตะบอลจากเกือบครึ่งสนามเข้าประตูไปให้ผู้ร่วมทีมได้เฮกันอย่างเต็มๆ สุดท้ายก่อนที่ทีมของเจ้านายหนุ่มจะชนะไปอย่างสวยงาม 2 ต่อ 0 ในเวลาที่ลงไปเพียง 10 กว่านาที ทำเอาลูกน้องที่ร่วมทีมและลูกน้องต่างทีมต่างยกนิ้วให้กับฝีมือของเจ้านายอย่างเต็มความภาคภูมิ
"เวลาทำงานผมก็ทำเต็มที่นะ ทำให้เห็นว่าผมทำและทำมาก่อนหมดแล้ว อย่างงานมอเตอร์โชว์ที่บริษัทเรานำรถไปร่วมโชว์ด้วย ผมก็ยืนขายและให้ข้อมูลมาแล้ว 7 วันเต็มๆ ก็ยังทำได้ ดังนั้นทุกคนก็ต้องทำได้เช่นกัน เพราะแรกเริ่มเราก็บุกบั่นมาด้วยกันจากทีมงาน 3-4 คน ขายได้ไม่กี่คันจนมาถึงตอนนี้เราขายได้กว่า 200 คันและปีนี้ก็ตั้งเป้าว่าต้อง 300 คันขึ้นไป และผมก็เชื่อว่าทุกคนทำได้ เราอยู่กันอย่างพี่น้องที่รู้ใจกันมีอะไรพูดคุยกันตลอดอยู่แล้ว" เจ้านายหนุ่ม เล่าถึงเรื่องงาน
แล้วเจ้าตัวก็ขอชะแว้บไปอาบน้ำเพื่อมาขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจในอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์ที่ชอบ ซึ่งพอออกมาก็ไม่รอช้าเดินไปที่รถดูคาติ รุ่นมอนสเตอร์ 796 คันเก่งสีแดงสด พร้อมกับเตรียมขึ้นรถขับออกไปโชว์ลีลาบนเจ้าสองล้อ และก่อนจะออกตัวก็เปรยออกใหได้ยินว่า "ผมลืมหมวกกันน็อก หวังว่าตำรวจจะไม่จับนะครับ" เท่านั่นละ..ทำเอาพวกเรายิ้มไปพร้อมๆ กับกองเชียร์ที่ไม่ใช่อื่นไกลเหล่าน้องๆ ในบริษัทที่มาให้กำลังใจเจ้านายขี่มอเตอร์ไบค์คู่ใจนั่นเอง
"ผมเคยขี่ไปไกลสุดก็ประมาณ 400 กิโลเมตรไปกลับนะครับ ไปทริปต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ การขี่มอเตอร์ไซค์ต้องมีสมาธิและมีสติอย่างสูง เพราะถ้าเป็นรถยนต์ยังมีถุงลมนิรภัยมีตัวรถเป็นเกราะกำบังในด่านแรกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่เมื่ออยู่บนมอเตอร์ไซค์สติเรานี้ละที่จะเป็นเครื่องป้องกันที่ดีที่สุด เพราะถ้าล้มคือเจ็บคือตาย ดังนั้นสมาธิ สติ ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง" ผู้นำเข้ามอเตอร์ไบค์คันหรู อธิบาย
และนอกจากที่จะชอบความเร็วแล้ว เจ้าตัวยังเข้าวัดฟังธรรมอย่างที่เกริ่นไปในบรรทัดแรกๆ ซึ่งเจ้าตัวย้ำเป็นการปิดท้ายก่อนจะโบกมือเราไปหาสุดที่รักคือภรรยาและลูกชายที่รอพ่อและสามีคนนี้ไปรับประทานข้าวด้วยกันในมื้อเย็นว่า "ความคิดของผมนะการมีธรรมะอยู่ในใจ การรักษาศีล 5 ให้ได้ เป็นเรื่องที่ต้องยึดมั่นในการดำรงชีวิตในทุกวัน
ที่สำคัญไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามต้องมีสติอยู่กับตัวตลอด พร้อมๆ กับยึดมั่นในหลักธรรมะในการดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่" และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่เจ้าตัวทิ้งท้าย ก่อนโบกมือลาพร้อมๆ กับเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าโดยปล่อยให้ลูกน้องขนมอเตอร์ไซค์คู่ใจขับกลับไปที่โชว์รูม