
ท่าเรือกันตังสู่ท่าเรือนาเกลือ
จากท่าเรือกันตังสู่ท่าเรือนาเกลือ สานต่อศูนย์กลางขนส่งทางน้ำ โดย...เมธี เมืองแก้ว
"ตรัง" จังหวัดทางภาคใต้ ที่เชื่อมโยงกับฝั่งทะเลอันดามัน กล่าวได้ว่ามีบทบาทในแง่ของการเป็นศูนย์กลางนับตั้งแต่อดีต มีแม่น้ำตรังที่สามารถใช้เป็นเส้นทางขนส่งทางน้ำเพื่อเชื่อมโยงกับหลายจังหวัด จนสร้างโอกาสของการเป็นศูนย์กลางการค้าฝั่งทะเลตะวันตก จนยุคหนึ่งตรังมีชื่อเรียกจากต่างประเทศว่า "เมืองตะโกลา"
บทบาทของการค้าโดยใช้เส้นทางขนส่งทางน้ำถูกบันทึกไว้ นับตั้งแต่ปี 2433 ในสมัยที่พระยารัษฎานุประดิษฐ์ มารับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองตรัง ที่พัฒนาตรังทุกด้านให้เป็นเมืองค้าขาย การขนส่งผลผลิตในขณะนั้น คือ การส่งออกข้าว เป็ด ไก่ สุกร โค กระบือ พริกไทย ไม้เคี่ยม ไม้โปรง เป็นต้น สร้างรายได้ให้แก่จังหวัด
อย่างไรก็ตาม สภาพที่เกิดขึ้นกับท่าเรือแห่งนี้คือพื้นที่โดยรอบกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ และมีธุรกิจต่างๆ เกิดขึ้นตามมา การขนถ่ายสินค้าเพื่อการส่งออกจึงไม่สะดวก ทั้งยังก่อให้เกิดมลพิษ เนื่องจากสินค้าบางอย่างมีลักษณะเป็นฝุ่นละออง เช่น ถ่านหิน ยิปซั่ม ด้วยเหตุนี้กรมเจ้าท่า จึงได้เข้ามาปรับปรุงในปี 2514
ด้วยการจัดทำท่าคอนกรีตเสริมเหล็กรูปตัวที กว้าง 14.8 เมตร ยาว 144 เมตร พร้อมอาคารสำนักงาน สามารถรองรับเรือขนาด 1,000 ตันกรอส ได้ครั้งละ 2 ลำ และในปี 2517 ได้ขยายหน้าท่าเพิ่มเป็น กว้าง 24.5 เมตร ยาว 90 เมตร โดยมีทางเข้า 2 ทาง ยื่นจากฝั่ง 51 เมตร พร้อมลานกองสินค้า ท่าเรือกันตัง ถือว่ามีความสำคัญต่อการขนส่งสินค้า
โดยเฉพาะประเภทยิปซั่ม ยางพารา และไม้ยางพารา ที่มีปริมาณพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็ได้เคยมีการเสนอให้ขยายรางรถไฟ สายกันตัง-กรุงเทพฯ มาเชื่อมต่อ ตามแนวทางพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่ง (โลจิสติกส์) และโครงข่ายสะพานเศรษฐกิจ (แลนด์บริดจ์) เพื่อเชื่อมต่อกับ จ.สงขลา จ.สุราษฎร์ธานี และท่าเรือปีนัง ประเทศมาเลเซีย
ขณะที่ยุทธศาสตร์ของ จ.ตรัง กำหนดให้ท่าเรือกันตังรองรับการส่งออกสินค้าด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์ ตั้งแต่ จ.สุราษฎร์ธานี ลงมา และจะผลักดันให้เป็นท่าเรือส่งออกสินค้าตามโครงการ IMT-GT หรือความร่วมมือระหว่างเศรษฐกิจ 3 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เพื่อพัฒนาการส่งออกสินค้าภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะยางพารา ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่เอื้อให้มูลค่าการส่งออกสินค้าผ่านท่าเรือกันตังเพิ่มขึ้น มาจากปัญหาความแออัดของการส่งออกสินค้าผ่านทางบก ด้านด่านจังหวัดสงขลา ที่จะส่งออกไปยังท่าเรือปีนัง ซึ่งต้องเสียเวลารอนำสินค้าขึ้นเรือ และยังทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่หากนำสินค้าผ่านท่าเรือกันตังจะเสียเวลาน้อยกว่า และประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า
จากข้อมูลของด่านศุลกากรกันตัง จังหวัดตรัง มีตัวเลขการส่งออกสินค้าผ่านท่าเรือกันตัง ในปีงบประมาณ 2553 อยู่ที่ 25,350 ล้านบาท สูงกว่าปีงบประมาณ 2551 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกแค่ 15,800 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 16,200 ล้านบาท ส่วนตัวเลขการส่งออกในปีงบประมาณ 2554 คาดว่า จะมีมูลค่าถึง 30,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในปี 2557 เป็นที่คาดการณ์ว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านบาท หลังจากท่าเรือแห่งใหม่เกิดขึ้น ที่บริเวณปากแม่น้ำตรัง คือท่าเรือนาเกลือ ต.นาเกลือ อ.กันตัง ซึ่งดำเนินการโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตรัง แล้วเสร็จ สำหรับท่าเรือแห่งนี้จะสามารถจอดเรือได้ครั้งละ 2 ลำ และขนถ่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว
ท่าเรือนาเกลือ ใช้พื้นที่เพื่อการพัฒนา 100 ไร่ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง โดยความร่วมมือกับกรมพาณิชย์นาวี กรมเจ้าท่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ด้วยงบประมาณมากกว่า 500 ล้านบาท เป้าหมายคือเพื่อรองรับเรือบรรทุกสินค้าประเภทเทกองขนาด 4,000 ตันกรอส โดยเฉพาะการขนส่งแร่ ระหว่าง จ.ตรัง และจังหวัดใกล้เคียง กับประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ บังกลาเทศ ศรีลังกา และอินเดียให้เพิ่มสูงขึ้น
ขณะเดียวกันกรมเจ้าท่า ได้อนุมัติงบประมาณ 389.09 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างท่าเรือนาเกลือ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก และพื้นที่หลังท่า อันประกอบไปด้วย อาคารสำนักงานและบริการขนส่งสินค้า เช่น อาคารซ่อมบำรุง พื้นที่ลานกองสินค้า ด่านชั่งน้ำหนัก และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 30 เดือน ในช่วงระหว่างปีงบประมาณ 2554-2556
"ผมเชื่อว่าท่าเรือนาเกลือจะรองรับการส่งออก ทั้งยางพาราและอาหารทะเล โดยล่าสุดได้มีผู้ประกอบการหลายรายมาซื้อหรือเช่าที่ดินใกล้ท่าเรือแห่งใหม่ เพื่อก่อสร้างท่าขนถ่ายสินค้าประเภทเทกอง ทั้งแร่ยิปซั่ม และถ่านหิน เพราะเล็งเห็นถึงโอกาสที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่ท่าเรือกันตังเริ่มประสบข้อจำกัดด้านต่าง" กิจ หลีกภัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตรัง ให้ความเห็น
ขณะที่ สหชัย งามโรจน์พิบูลย์ นายด่านศุลกากรกันตัง จังหวัดตรัง วิเคราะห์ว่า นับตั้งแต่ปี 2557 เชื่อมูลค่าการส่งออกสินค้าจาก จ.ตรัง มีโอกาสที่จะขยายตัวไปถึง 50,000 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการมีท่าเทียบเรือแห่งใหม่คือท่าเทียบเรือนาเกลือ จะเห็นว่าที่ผ่านมา ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการส่งออก ก่อให้เกิดผลดีต่อ อ.กันตัง ซึ่งมีท่าเทียบเรืออยู่ในพื้นที่โดยตรง และมีอายุการใช้งานมากว่า 200 ปี แล้ว จนทำให้ท่าเรือแห่งนี้เป็นประตูเพื่อการนำเข้า-ส่งออกในภาคใต้ฝั่งตะวันตก และเป็นประตูการเชื่อมต่อไปสู่ภูมิภาคอาเซียน
ส่วนท่าเรือนาเกลือจะมีศักยภาพที่สำคัญก็คือ สามารถขนถ่ายสินค้าไปได้ทุกเส้นทาง โดยเฉพาะทางเรือ ขณะที่ทางบก ก็มีถนนมาตรฐานอยู่ 3 เส้นทางแล้ว คือ พัทลุง-ตรัง นครศรีธรรมราช-ตรัง และกระบี่-ตรัง รวมทั้งถนนสายนาเมืองเพชร-นาเกลือ โดยกรมทางหลวงชนบท จะขยายผิวจราจรให้กว้างขึ้นเป็นขนาด 12 เมตร เพื่อรองรับการขนถ่ายสินค้ากับท่าเทียบเรือนาเกลือ ส่วนทางรถไฟก็กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบราง ที่จะเชื่อมต่อมาถึง สหชัย กล่าว
นี่จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของภาคการขนส่งทางน้ำของจังหวัดตรัง ด้วยการเชื่อมโยงจากท่าเรือกันตังสู่ท่าเรือนาเกลือ



