
สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส : พันเรื่องถิ่นแผ่นดินไทย โดย ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ และคณะ
“พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา” คนไทยส่วนใหญ่คงเคยได้ยินบทพระราชนิพนธ์ดังกล่าว แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าพระองค์ใดทรงเป็นผู้พระราชนิพนธ์ไว้ บทพระราชนิพนธ์ข้างต้นนั้น มาจากบทพระราชนิพนธ์เรื่อง “กฤษณาสอนน้องคำฉันท์” อีกสำนวนหนึ่ง ที่ทรงพระราชนิพนธ์โดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส หรือทรงมีพระนามเดิมว่า “พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี” ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรก ที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กับเจ้าจอมมารดาจุ้ย (ท้าวทรงกันดาล) ที่ทรงประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2333
โดยปรกติการเรียกพระนาม พระประมุขแห่งสังฆมณฑล จะเรียกตามพระอิสริยยศว่า “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ” หรือเรียกอย่างย่อว่า “สมเด็จพระสังฆราช” แต่เนื่องด้วยทรงเป็นพระบรมราชวงศ์ ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 จึงทรงมีพระราชดำริให้ เปลี่ยนคำนำพระนามพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งดำรงพระสมณศักดิ์เป็นประมุขแห่งสังฆมณฑลว่า “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า” นับแต่นั้นมา เพื่อให้ปรากฏพระนามในสมณศักดิ์ด้วย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงพระผนวชเป็นเณรเมื่อปีพ.ศ.2345 ขณะที่มีพระชันษาได้ 11 ปี และทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุ เสด็จประทับ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ จนตลอดพระชนม์ชีพ โดยประทับอยู่ที่ “พระตำหนักวาสุกรี” ซึ่งก็คือหมู่กุฏิที่พักสงฆ์ของวัดโพธิ์ที่เรียกว่า “คณะตำหนัก” หรือ “น.16” ซึ่งในปัจจุบันนี้พระตำหนักวาสุกรีเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิ และรูปหล่อเท่าพระองค์จริง โดยเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าสักการะตามโอกาสอันควร
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงมีบทบาทอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ที่ได้ทรงบูรณะวัดโพธิ์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ หรืออย่างที่เรียกกันว่า “มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเมืองไทย” ด้วยสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้าน “อักษรศาสตร์” ทรงพระราชนิพนธ์ตำรายา และตำรานวดแผนโบราณ ที่จารึกไว้โดยรอบวัดโพธ์ ตลอดจนทรงพระราชนิพนธ์งานอันทรงคุณค่าไว้เป็นจำนวนมาก อาทิ พระปฐมสมโภธิคาถา ลิลิตตะเลงพ่าย และอื่นๆ อีกคณานับ ในปีพ.ศ.2533 อันเป็นวาระครบ 200 ปีพระชาตกาล องค์การยูเนสโก ได้ประกาศยกย่องให้ทรงเป็นผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมระดับโลก
ฉบับพรุ่งนี้เล่าเรื่อง “เมื่อ 2 ปราชญ์พบกันที่ศรีลังกา” อย่าพลาดติดตามนะครับ