ข่าว

จี้รัฐชัดเจน'บ้านหลังแรก'

จี้รัฐชัดเจน'บ้านหลังแรก'

06 ก.ย. 2554

จี้รัฐชัดเจน'บ้านหลังแรก' ตลาดสับสน-ผู้บริโภคชะลอตัดสินใจ

        พลันที่มีการหยิบยกประเด็นการสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแทน ภายใต้นโยบาย “บ้านหลังแรก” ทั้งที่ผ่านนโยบายลดหย่อนภาษี และดอกเบี้ย 0% ทำให้ประกายฝันของคนที่อยากมีบ้านนั้นทอแสงขึ้นมาทันที

        ในขณะที่ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างก็เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นนโยบายที่ดี นอกจากจะช่วยภาคธุรกิจแล้วยังเป็นนโยบายที่แก้ปัญหาทางสังคมด้วย กล่าวคือ การที่ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองนั่นหมายความว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น

        ...ถึงวันนี้ความชัดเจนก็ยังไม่มี สร้างความสับสนทั้งฝั่งผู้ซื้อและฝั่งผู้ประกอบการ (ผู้ขาย) คำตอบที่ได้จากฝั่งผู้ขายที่ฝากไปยังรัฐบาลใหม่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่น่าจะเข้าใจธุรกิจนี้ได้ดี เพราะอดีตได้ชื่อเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ บมจ.เอสซี แอสเสท การหยิบเอานโยบายบ้านหลังแรกมาพูดไว้ก่อนหน้านั้น สะท้อนถึงความเข้าใจว่า “บ้าน” นั้นนสำคัญแค่ไหน

        แต่เมื่อยังไม่มีคำตอบจากภาครัฐ การทวงถามก็เริ่มดังขึ้นๆ ว่ารัฐบาลควรประกาศออกมาชัดเจนได้แล้ว ว่า “มี” หรือ “ไม่มี” ถ้าจะบอกว่า “ไม่มี” หรือทำไม่ได้ ก็คงไม่มีใครว่าอะไร อย่าปล่อยให้คลุมเครือ เพราะนั่นสะท้อนได้ว่า ก่อนที่จะพูดหรือประกาศออกไปผ่านสื่อไม่มีการทำการบ้านล่วงหน้า หรือไม่ ก็คนทำไม่ได้พูด...คนพูดไม่ได้ทำ

        นั่นสะท้อนได้ว่าด้วยการแข่งขันเชิงนโยบายที่มุ่งหวังเพียงคะแนนเสียง โดยขาดการพิจารณาถึงความจำเป็นและกลุ่มเป้าหมายที่สมควรได้รับการช่วยเหลือ

        อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลกำลังสร้างความสับสนให้ตลาด เกิดการชะลอการตัดสินใจเห็นได้จากการทำยอดการทำนิติกรรมการขอสินเชื่อกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ภายใต้โครงการบ้านหลังแรก 0% เป็นเวลา 2 ปี ที่รัฐบาลชุดก่อนทำไว้ แม้จะมีผู้บริโภคยื่นขอสินเชื่อเต็มวงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาทไปแล้ว แต่พบว่ามีผู้บริโภคบางรายชะลอการทำนิติกรรม เพราะรอมาตรการบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 5 ปีตามที่ ”ยิ่งลักษณ์ “ กล่าวไว้ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง

        “รัฐควรที่จะประกาศรายละเอียดของโครงการบ้านหลังแรกออกมาโดยเร็วที่สุด” นั่นคือเสียงสะท้อนจากประชาชนสมาชิกของสามสมาคมอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ 3 สมาคมทั้งบ้านจัดสรร ,อาคารชุดไทยและอสังหาริมทรัพย์ เพราะขณะนี้มีผู้บริโภคจำนวนมากที่รอใช้สิทธิจากโครงการนี้
 แนวทางการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 3 แสนบาท สำหรับบ้านหลังแรกนั้น หากดำเนินการจริง เชื่อว่าจะส่งผลดีกับคนเพียงบางกลุ่มบางก้อนเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้สูงและเสียภาษีสูง ส่วนคนที่มีรายได้น้อยจะไม่ได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงระดับที่ต้องเสียภาษี จึงเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ไม่ได้ส่งผลดีต่อคนส่วนใหญ่

        ทั้งนี้ สิ่งที่ภาคเอกชน และผู้บริโภคต้องการเห็นจากนโยบายบ้านหลังแรก คือ มาตรการดอกเบี้ย 0% คงที่ 3 ปีขึ้นไปมากกว่า ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลหาเสียงไว้ หากดำเนินการได้ตามที่พูดไว้จะช่วยให้ผู้ที่มีรายได้น้อยได้ประโยชน์ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่จะซื้อบ้านในราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ รัฐบาลประกาศราคาบ้านที่จะส่งเสริมแบบไม่เป็นทางการ วงเงินไม่เกิน 4 ล้านบาท

        ในทางปฏิบัตินั้น รัฐไม่ควรให้การส่งเสริมที่เท่ากันทั้งหมด ควรจัดกลุ่มราคาบ้าน แต่ควรกำหนดเป็นการคิดอัตราดอกเบี้ย 0% เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนบ้านราคามากกว่า 1.5-4 ล้านบาท ก็ไม่ควรได้อัตราดอกเบี้ย 0% ซึ่งแนวทางนี้ จะช่วยกระจายวงเงินให้ถึงประชาชนได้ในวงกว้างมากกว่า

        ด้านนายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวถึงนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ว่า ยังไม่มีความจำเป็นและไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ควรใช้มาตรการนี้ในยามวิกฤติเท่านั้น และหากใช้ควรจำกัดราคาบ้านหลังแรกที่จะซื้อเป็นเงิน 1-1.5 ล้านบาท และกำหนดรายได้ของผู้จะซื้อไม่เกิน 1.5-2.5 หมื่นบาทต่อครัวเรือนต่อเดือน และควรรวมหรือเน้นเฉพาะบ้านมือสองเป็นสำคัญ

        ที่สำคัญควรทบทวนนโยบาย เพราะ สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในขณะนี้อยู่ในช่วง “ขาขึ้น” หรือ “ซื้อง่ายขายคล่อง” จึงไม่มีความจำเป็นต้องสนับสนุนการซื้อบ้านหลังแรกในขณะนี้ ผลการประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบริษัทมหาชนซึ่งมีส่วนแบ่งในตลาดที่อยู่อาศัยราว 2 ใน 3 ก็ยังมีกำไรด้วยดีตามปกติ

        การสนับสนุนในขณะนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเฉพาะผู้ที่จะซื้อบ้านในห้วงเวลานี้เท่านั้น จึงไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ก็จะกลายเป็นเพียง “ผู้โชคดี” ที่ได้รับรางวัลจากรัฐบาล ในห้วงเวลาที่พวกเขายังไม่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ

        สำหรับราคาบ้านที่กำหนดไว้ไม่เกิน 3 ล้านบาทนั้น ถือเป็นเพดานที่สูงเกินไป ผู้ที่สามารถซื้อบ้านในราคา 3 ล้านบาท ควรมีรายได้ครัวเรือนละ 6 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อย ดังนั้น หากจะช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่พึงได้รับการช่วยเหลือ ควรกำหนดราคาไว้ไม่เกิน 1-1.5 ล้านบาท

        นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดรายได้ของผู้ซื้อบ้านหลังแรกด้วย ไม่เช่นนั้นลูกคหบดี หรือผู้มีรายได้สูงก็เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือด้วย ซึ่งกลายเป็นว่ามาตรการนี้ไม่ได้มุ่งช่วยผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ด้อยโอกาส ดังนั้นจึงควรกำหนดรายได้ต่อครัวเรือนของผู้ซื้อบ้านหลังแรกไว้ไม่เกิน 1.5-2.5 หมื่นบาทต่อเดือนต่อครัวเรือน

        ในอนาคตหากถึงเวลาที่รัฐบาลจะใช้มาตรการนี้ รัฐบาลควรกำหนดความหมายของบ้านหลังแรกไว้ชัดเจน ว่าหมายถึงเฉพาะถึงบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด ที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย ไม่เช่นนั้นหากมีผู้ซื้ออาคารชุดตากอากาศในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ก็อาจถูกรวมอยู่ในกลุ่มผู้ได้รับการช่วยเหลือด้วย ซึ่งถือว่าไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากนัก