ข่าว

เปิดเส้นทางบ่อนเมืองกรุงส่วย2พันล./ปี

เปิดเส้นทางบ่อนเมืองกรุงส่วย2พันล./ปี

31 ส.ค. 2554

เปิดเส้นทางบ่อนกลางเมืองหลวง เผยทุกพื้นที่จ่ายส่วยรายวัน/รายเดือน ผลวิจัย ชี้ ตร.ได้ส่วนแบ่งจากเจ้าของบ่อน ปีละ2-8 พันล.

        หลังจากจอมแฉ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย นำคลิปวิดีโอที่อ้างว่า ถ่ายมาจากบ่อนการพนันใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ใกล้สถานีตำรวจ ส. แต่ไม่ใช่ สน.สำเหร่ หรือสำราญราษฎร์ และคลิปวิดีโอ การซื้อขายยาเสพติด ภายในสถานบันเทิง มาเปิดในที่ประชุมสภา ทำเอาเก้าอี้ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ของพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี สะเทือนทันที

      ไม่เพียงเพราะถูกแฉซ้ำว่า บ่อนดังกล่าวตั้งอยู่ที่ใดเท่านั้น แต่ยังยิงข้อมูลตรงใส่ว่า บ่อนเหล่านี้เปิดได้ เพราะมีการส่งส่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบวันละ 2 ล้านบาท หรือเดือนหนึ่งละประมาณ 60 ล้านบาท ทั้งยังมีนายตำรวจยศระดับนายพล ที่พบข้อมูลเบื้องต้นว่า เป็นนายตำรวจระดับสูงอย่างน้อย 2 หน่วยงาน เข้าไปร่วมหุ้นกันเปิดกิจการแถมเปิดให้บริการอย่างเปิดเผย

     แม้ล่าสุดจะมีการสนธิกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่และกองปราบเข้าตรวจค้น หากไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า บ่อนในเขตพื้นที่ที่ถูกระบุนั้นมีอยู่จริง ในขณะจอมแฉคนเดิม ได้นำภาพคลิปการขนย้ายอุปกรณ์การเล่นพนันออกมา สวนกลับข้อมูลของตำรวจอย่างทันควัน

     และหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด นอกจากการเด้งตำรวจระดับสูงและระดับล่างที่เกี่ยวข้องแล้ว เมื่อมีกระแสข่าวอื่นเข้ามากลบบ่อนการพนัน ภายใต้ร่มเงาของนายตำรวจใหญ่ ซึ่งตำรวจท้องที่และตำรวจส่วนกลางจากหน่วยใดก็ไม่กล้าเข้าไปตรวจค้นจับกุม ก็พร้อมจะกลับมาอีกคำรบหนึ่ง

 

เปิดแหล่งอบายมุขใจกลางเมืองหลวง

      เคยมีรายงานของเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ปปท.) ในยุคที่นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างปี 2553 -2554 มีประชาชนจำนวนไม่น้อย ได้ส่งหนังสือร้องเรียน เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปสุ่มตรวจสอบสถานบริการผิดกฎหมายในท้องที่รับผิดชอบ ของตำรวจนครบาลทั้ง 9 แห่ง รวมทั้งในเขตปริมณฑล

        ผลจากการปฏิบัติงานพบว่า สถานบริการเปิดให้บริการเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด และยังเปิดให้เยาวชนเข้าไปมั่วสุมจนถึง 08.00 น.และยังพบว่า สถานบริการทุกแห่งนั้นมี ตู้ม้า ตู้การพนันสลอตแมชชีน บ่อนพนันไพ่ป๊อก และโต๊ะพนันทายผลฟุตบอล     

        ผลการสืบสวนพบของเจ้าหน้าที่ฯ พบว่า เจ้าของตู้พนันจะมีรายได้เฉลี่ยวันละ 10,000 บาท ต่อวันต่อตู้ โดยเฉพาะส่วยตู้ม้า ที่มีการจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่เฉลี่ยเดือนละ 3,000 บาทต่อตู้ โดยบ่อนพนัน และตู้ม้าถือเป็นแหล่งทำมาหากินของตำรวจ มีการส่งส่วยค่าวางตู้ม้า ตู้ละ 500 บาท และให้จ่ายรายเดือนอีกเดือนละ 3,000 บาท

      ในขณะที่สถานเริงรมย์ และร้านเกมต่างๆ รวมทั้งสถานบันเทิงที่เปิดให้บริการแบบโต้รุ่ง ในส่วนของการพนัน พบว่า มีการตั้งตู้ม้ารับแทงพนันหยอดเหรียญ เป็นการตั้งตู้ให้บริการใต้อาคารหอพัก และอพาร์ตเมนต์ต่างๆ โดยในการจ่ายส่วย เจ้าของตู้ม้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเหมาจ่ายให้กับ 5 เสือ เพื่อเคลียร์ตั้งแต่ต้นทาง และไม่ให้มีปัญหาการจับกุมรายเล็กรายน้อย 

        หลังจ่ายส่วยเจ้าของตู้จะกระจายตู้ม้า และตู้เกมต่างๆ ไปลงในพื้นที่ ซึ่งพื้นที่ที่ตรวจสอบพบตู้ม้าตั้งบริการมากที่สุดอยู่ในเขตรับผิดชอบของกองบังคับการตำรวจนครบา ล (บก.น.) 5 และ 8     

        ขณะที่แหล่งข่าวจากกองบังคับการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ทุกๆครั้งที่มีการร้องเรียนผู้บังคับบัญชา จะมอบหมายนโยบายให้ตำรวจทุกพื้นที่เข้มงวด กับสถานบริการที่ละเมิดกฎหมาย และกำชับให้กวดขันจับกุมการลักลอบการเล่นพนัน ทั้งตู้ม้า ตู้เกมไฟฟ้า การพนันฟุตบอล มีการเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย แต่เมื่อจู่โจมตรวจค้นก็มักจะไม่พบความผิดปกติใด ๆ เนื่องจาก “สาย”หรือ “คนดูต้นทาง”ที่ทางเจ้าของบ่อนวางไว้มักจะรู้ล่วงหน้า และส่งสัญญาณบอกนักพนัน ไม่ให้เข้ามาในช่วงที่มีการเข้าจับกุม และย้ายหนีไปเล่นที่ “บ่อนวิ่ง”แทน

 

 แฉเจ้าของบ่อนพันเจ้-เฮียและคนระดับสูง

      มีรายงานจาก ปปท.ระบุว่า บ่อนการพนันที่ซอยรัชดาภิเษก 18 นั้น มีจริง และเป็นบ่อนขนาดใหญ่ เปิดรับลูกค้ากระเป๋าหนัก ซึ่งเจ้าของบ่อนเป็นเจ้าของเดียวกับบ่อนที่ย้ายมาจากถนนพระราม 9 เบื้องต้นเชื่อว่า ข้อมูลของนายชูวิทย์ น่าจะเป็นบ่อนเดียวกันกับที่ ปปท.เคยตรวจสอบพบก่อนหน้านี้ ซึ่งนอกจากบ่อนขนาดใหญ่แล้ว บนถนนรัชดาภิเษก ยังพบว่า มีบ่อนขนาดกลาง และขนาดเล็กอีกหลายแห่งที่ลักลอบเปิดเล่นการพนัน ในอพาร์ทเมนท์ย่านถนนลาดพร้าว

        “ตำรวจเข้าไปตรวจค้นบ่อนการพนันแล้วไม่พบ คงต้องถามว่า ประชาชนเชื่อหรือไม่ เพราะคนขับรถแท็กซี่ก็รู้ หากลูกค้าขึ้นแท็กซี่แล้วให้พาไปบ่อนการพนัน แท็กซี่ยังพาไปถูกเลย”แหล่งข่าวระบุ

      รายงานข่าวจาก ปปท.เปิดเผยว่า สำหรับบ่อนพนันชื่อดังที่ตำรวจเข้าตรวจค้นภายหลังการอภิปรายของนายชูวิทย์นั้น เคยมีความพยายามเข้าตรวจค้นแล้ว แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ เนื่องจากมีผู้แอบอ้างว่า เจ้าของเป็นบุคคลระดับสูง

        และก่อนหน้านี้ เคยมีผู้เรียนระบุว่า บ่อนพนันดังกล่าวมีนายตำรวจระดับสูงอย่างน้อย 2 หน่วยงาน ร่วมหุ้นกันเปิดกิจการ โดยบ่อนพนันได้เปิดให้บริการอย่างเปิดเผย แต่ห้ามไม่ให้นำอาวุธปืนเข้าไปเท่านั้น ทำให้ไม่มีตำรวจท้องที่และตำรวจส่วนกลางจากหน่วยใด เข้าตรวจค้นจับกุม

     “ปปท.ไม่เคยนำกำลังเข้าตรวจค้น เพราะมีการแอบอ้างว่า เกี่ยวพันถึงบุคคลชั้นสูง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดที่ ปปท.ตรวจพบคือ มีคำสั่งให้ปิดบ่อนพนันที่ลักลอบเปิดในกรุงเทพฯชั่วคราว เพื่อให้ลูกค้าเดินทางไปอุดหนุนบ่อนพนันในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะบ่อนใหญ่ที่นักการเมืองไทยมีหุ้นส่วน

        เนื่องจากในช่วงเลือกตั้งนำเงินสดจากบ่อนพนันหิ้วข้ามตะเข็บชายแดนไปใช้ในการหาเสียงจำนวนมาก โดยการเดินทางไปเล่นพนันในบ่อนคาสิโนของประเทศเพื่อนบ้านมีความสะดวก สบาย ทางบ่อนจะจัดรถตู้วีไอพีมารับลูกค้าถึงกรุงเทพฯ และเดินทางผ่านด่านโดยไม่ถูกตรวจค้น”แหล่งข่าวจาก ปปท.ระบุ 

      มีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลระบุว่า บ่อนกลางกรุงนั้นมีจำนวนมาก และเป็นบ่อนที่เปิดรับลูกค้ากระเป๋าหนัก มีทั้งที่เจ้าของบ่อนเปิดบ่อนเองโดยส่งส่วยให้กับตำรวจ ซึ่งส่วยนั้นจะจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายวันก็ได้ ตามแต่ข้อตกลงที่ทำไว้กับผู้ที่ดูแลพื้นที่

        หากเป็นบ่อนใหญ่มีนักพนันเข้ามาเล่นจำนวนมากก็จ่ายหนัก ซึ่งการเก็บส่วยขึ้นอยู่กับขนาดของบ่อนและจำนวนผู้เข้ามาเล่น มีทั้งบ่อนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง บ่อนขนาดเล็ก หรือบางบ่อนตั้งวงกันในตลาดเลยทีเดียว มีอาหาร เครื่องดื่ม เด็กเสิร์ฟคอยให้บริการอย่างดี

       “ถ้าเป็นบ่อนในตลาดแถวๆดอนเมือง บางเขน สะพานใหม่ นักพนันส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้านทั่วไปแม่บ้านหรือข้าราชการเกษียณ อย่างนี้เรียกว่า บ่อนขนาดกลาง วงเงินพนักอยู่ที่ระดับหลักแสน แต่ถ้าอยู่ในย่านเมืองก็มี เขตพญาไท ราชเทวี บ่อนจะเป็นบ่อนใหญ่เปิดตึกเล่นกันเลย ที่ดัง ๆ แล้วเคยถูกตำรวจเข้าค้นก็มีของ เจ๊เพลี้ย กิ่งเพชร แถวบางซื่อชื่อดัง ๆ อย่างบ่อนเตาปูน อันนี้เข้ายาก”เจ้าหน้าที่จากตำรวจจากนครบาลให้ข้อมูล

      สำหรับบ่อนซึ่งเป็นที่รู้จักกันของนักพนันในพื้นที่เขตทวีวัฒนา ที่ถูกตำรวจกวนจนต้องทำแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ปิด ๆ เปิด ๆ เป็นระยะ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่คือ “บ่อนเจ้ไฝ” และบ่อนใหญ่ของ “เฮียอ๋า” แขวงช่องนนทรี ที่ตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบไม่ขยับ แต่นครบาลเข้าจับครั้งใดมักจะไม่ค่อยได้นักพนันและของกลาง เพราะมักมีพรายเข้าไปกระซิบเสียก่อน

 

สะพัดเงินบ่อนจ่ายส่วยตำรวจ 2 พันล้านบาท       

       หากนับเฉพาะบ่อนการพนันในพื้นที่กรุงเทพ ตำรวจผู้นี้ยอมรับว่า ทั้งใหญ่และกลางมีมากกว่า 30-40 แห่ง และตามจับไม่ไหว เหตุไม่ใช่เพราะจับยากหรือไม่มีข้อมูล หากเกิดจากขบวนการจ่ายส่วยจากระดับล่างถึงระดับบนล่าง โดยแต่ละพื้นที่เขตจะมีผู้รับผิดชอบโดยตรง ซึ่งบางครั้งสิ่งที่คนตัวเล็กๆทำได้เพียงคือ “ตามน้ำ” โดย ”นาย” จะเป็นผู้จัดสรรผลประโยชน์ที่ได้รับมาอีกต่อหนึ่ง

      ทั้งนี้ผลการวิจัยเรื่อง “เศรษฐกิจการพนันกับปัญหาสาธารณะ” โดย ศ.ดร. สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานหลักสูตรปริญญาเอก สาขาการพัฒนาธรรมาภิบาล มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม ระบุว่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีบ่อนการพนันกว่า 170 แห่ง เป็นบ่อนขนาดใหญ่ แบบถาวร 10แห่ง บ่อนขนาดกลางและขนาดเล็ก 60 แห่ง และเป็นบ่อนวิ่งกว่า 100 แห่ง ช่วงไหนตำรวจมีความเข้มงวดบุกเข้าทลายอย่างต่อเนื่อง บ่อนจะปิดตัวไปช่วงสั้น ๆ 

        ผลการวิจัย ยังระบุอีกว่า เฉพาะบ่อนการพนันในพื้นที่กรุงเทพฯมีเงินสะพัดปีละ 1.8แสนล้านถึง 2แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรของเจ้ามือ 3.8 หมื่นล้านถึง 4 หมื่นล้านบาท และในจำนวนนี้จะเป็นการจ่ายส่วยให้กับตำรวจ เพื่อแลกกับการเปิดบ่อนประมาณ 5-20 % ของรายได้ หรือคิดเป็นเงิน 2,000- 8,000 ล้านบาท

      ผลการวิจัย ยังพบว่า ทั่วประเทศมีบ่อนเปิดให้บริการกว่า 7 แสนถึง 1 ล้านแห่ง โดยมีบ่อนขนาดใหญ่ 75 แห่ง บ่อนขนาดกลางและบ่อนวิ่งอีกกว่า 780 แห่ง ที่เหลือเป็นบ่อนย่อยตามงานศพ ส่งผลให้มีเงินสะพัดจากบ่อนทั่วประเทศปีละ 6.4 แสนล้านบาท ถึง 8.2 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรของเจ้ามือ 9 หมื่นล้านบาท

     ดร.สังศิต กล่าวว่า วัฎจักรของบ่อนการพนันจะเป็นไปในลักษณะนี้ต่อไป โดยทุกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปราบปรามบ่อนก็จะปิดตัวลงชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็จะกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งการแก้ปัญหาบ่อนการพนันในระยะยาวนั้น มีอยู่ 2 แนวทาง

        คือ การปฏิรูปตำรวจเพื่อให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างซื้อสัตย์สุจริต ไม่รับเงิน ซึ่งสามารถทำได้โดยรัฐบาลจะต้องมีนโยบายชัดเจน และการทำบ่อนการพนันให้ถูกกฎหมายหรือการอนุญาตให้เปิดคาสิโน แต่มีข้อแม้รัฐบาลนั้นจะต้องเป็นรัฐบาลที่สุจริต หามาตรการป้องกันไม่ให้พรรคพวกเพื่อนพ้อง หรือญาติพี่น้อง รวมทั้งนักการเมืองไม่ให้เข้ามามีผลประโยชน์

        “ทั้งสองแนวทาง สามารถแก้ปัญหาเรื่องบ่อนการพนันได้ แต่ยากมาก เพราะแม้จะมีบ่อนการพนันถูกกฎหมาย หากปัญหาการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน ก็จะยังไม่หมดไป ตอนนี้บ่อนใหญ่ปิดไปแล้วก็จริง บ่อนที่เปิดกันอยู่แบบไม่เปิดเผย ก็ยังปล่อยให้มีการเล่นกันอยู่ทุกวัน”ดร.สังศิต ทิ้งท้าย

 

............

(หมายเหตุ : ที่มา : http://www.tcijthai.com/)