
ซ่อมส.ส.ร้อยเอ็ดวัด "กระแส-บารมี"
การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 แทน "นพดล พลซื่อ" อดีตส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี
ซึ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน จะเป็นเครื่องชี้วัดระหว่าง "กระแส" กับ "บารมี" อย่างไหนสามารถครองคะแนนนิยมพื้นที่ร้อยเอ็ด เขต 3 ได้มากกว่ากัน
ต้องยอมรับว่าการหาเสียงในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานยังต้องขาย "ทักษิณ ชินวัตร" จึงจะทำให้ "ลูกพรรค" มีคะแนนนำคู่แข่ง
แม้ว่า "ลูกพรรค" บางคนจะถูกประชาชนในพื้นที่ "เมิน" ก็ตาม
สำหรับการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 3 แทน "นพดล" มีผู้มาสมัครจำนวน 3 ราย
หมายเลข 1 นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ สังกัดพรรคเพื่อไทย
หมายเลข 2 นางรัชนี พลซื่อ สังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน
หมายเลข 3 นายเยี่ยมพล พลเยี่ยม สังกัดพรรคความหวังใหม่
เขตเลือกตั้งที่ 3 จ.ร้อยเอ็ด ประกอบด้วย อ.เสลภูมิ จำนวน 236 หน่วยเลือกตั้ง อ.โพนทอง 199 หน่วย อ.หนองพอก จำนวน 120 หน่วย และอ.เมยวดี จำนวน 43 หน่วย รวม 598 หน่วยเลือกตั้ง
บรรดา "คอการเมือง" พากันจับกลุ่มพูดคุยในวงร้านกาแฟเกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เพราะเป็นการเลือกตั้งหลังจาก "กลุ่มคนเสื้อแดง" มาชุมนุมประท้วงรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน
ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ "รัชนี" แม้เป็นตัว "เต็ง" แต่การหาเสียงย่อมเหนื่อยกว่าทุกครั้งอย่างแน่นอน
ต้องยอมรับว่าในพื้นที่ภาคอีสานนโยบายของ "ทักษิณ" อดีตนายกรัฐมนตรี ยังครองใจประชาชนจึงไม่แปลกที่มี "แฟนพันธุ์แท้" อย่างเหนียวแน่น
ดังนั้นการหาเสียงของ "นิรันดร์" ทุกเวทีจึงขายความเป็น "ทักษิณ" ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "นโยบาย" หรือ "ตัวบุคคล"
แต่ใช่ว่าคู่แข่งอย่าง "รัชนี พลซื่อ" จะเป็น "หมู" ให้ต้อนง่ายๆ!
เพราะนอกจากเคยเป็น "อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด" (อบจ.) ทำงานคลุกคลีกับประชาชนในพื้นที่แล้วการเเลือกตั้งครั้งนี้ยังอาศัย "บารมี" ของสามี "เอกภาพ พลซื่อ" อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมืองมาสนับสนุนด้วยอีกทางหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าการเลือกตั้งในสมัยที่ส่ง "นพดล พลซื่อ" ซึ่งมีศักดิ์เป็น "หลาน" ทาง "เอกภาพ" ยังสามารถสนับสนุนจนมีคะแนนชนะการเลือกตั้งนำมาเป็นอันดับ 1
ขณะที่ "นิรันดร์ นาเมืองรักษ์" ผู้สมัครในนามพรรคพลังประชาชน มีคะแนนตามมาเป็นอันดับที่ 4 โดยคะแนนทิ้งห่าง "นพดล" กว่า 2 หมื่นคะแนน
แม้ว่าจะส่งขุนพลฝีปากกล้าอย่าง "สมัคร สุนทรเวช" หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ควงแขน "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ประธานส.ส.พรรคพลังประชาชน ขึ้นเวทีปราศรัยก็ตาม
และในการเลือกตั้งครั้งนั้นแม้ว่ากระแส "ทักษิณ" ในพื้นที่ภาคอีสานจะทำให้หลายพรรคพากันหนักใจ แต่สำหรับเจ้าของพื้นที่ "หน้าใหญ่ ใจนักเลง" อย่าง "เอกภาพ" ถือว่าฉลุย
ยังสามารถครองใจประชาชนมาได้ตลอดไม่ว่าจะส่งใครลงสมัครก็ตาม !
ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ "พรรคเพื่อไทย" ส่ง "ร.ต.อ.เฉลิม" และส.ส.ดีกรีดาราอย่าง "บรู๊ค" ดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.กทม., "ตั้ม" พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ไปช่วยหาเสียงในครั้งนี้ด้วย
โดย "ตีจุดอ่อน" ของพรรคเพื่อแผ่นดินที่ไปร่วมรัฐบาลกับ "พรรคประชาธิปัตย์"
ทำให้คะแนนนิยมของ "นิรันดร์" ที่เดิมมีคะแนนทิ้งห่าง "รัชนี" หลายช่วงตัวตีขึ้นมาอยู่ที่ 40:60
ทำให้ "พรรคเพื่อแผ่นดิน" ต้องปรับกลยุทธ์การหาเสียงด้วยการเปิดเวทีปราศรัยขนาดเล็กและใช้รถตู้บุกตามหมู่บ้านทำความเข้าใจกับประชาชนเป็นหลัก
ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้นอกจากจะเป็นการวัดระหว่าง "บารมี" เจ้าของพื้นที่เดิมอย่าง "เอกภาพ พลซื่อ" กับ "กระแส" ของ "ทักษิณ" ในพื้นที่ภาคอีสาน
ถือเป็นจุดเริ่มต้นการวัดการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างหนึ่ง
โดยจะวัดว่าประชาชนยังเลือก "ตัวบุคคล" ที่ทำงานเกาะติดพื้นที่หรือจะเปลี่ยนไปเลือก "พรรค" แทน แต่เมื่อผลออกมาอย่างไม่เป็นทางการ ประชาชนยังเลือก "ตัวบุคคล" อยู่ โดย "รัชนี" ชนะไปกว่า 2 หมื่นคะแนน
วินัย วงศ์วีระขันธ์ / สมถวิล เทพสวัสดิ์