ข่าว

'ตึกแถว,อาคารพาณิชย์+โฮมออฟฟิศ'ไม่บานสไตล์'K-II'

'ตึกแถว,อาคารพาณิชย์+โฮมออฟฟิศ'ไม่บานสไตล์'K-II'

20 ส.ค. 2554

“ตึกแถว, อาคารพาณิชย์ + โฮมออฟฟิศ” ไม่บาน สไตล์ “K-II”:คนรักบ้าน

           สวัสดีครับชาว “คนรักบ้าน” คงเบิกบานกันไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาแฟนๆ ที่ชื่นชอบ ตึกแถว, อาคารพาณิชย์ + โฮมออฟฟิศไม่บาน  ก็เป็นเครื่องชี้วัดนะครับว่า ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจสังคมของประเทศจะเป็นอย่างไรก็คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธ “อาคารบ้านเรือนที่ไม่บาน” ในรูปแบบ “ตึกแถว” กันไปได้ ซึ่งในปัจจุบันอาจจะเรียกแบบโก้เก๋ว่า “อาคารพาณิชย์” หรือ “โฮมออฟฟิศ” หรือ “ทาวน์โฮม” แต่อย่างไรเสียสำหรับผมแล้วก็คือ “ตึกแถว” นั่นเองครับ ซึ่งจากการที่ผมได้ลองศึกษาค้นคว้าประวัติและความเป็นมาของ “ตึกแถว” ก็ยิ่งเกิดความประทับใจในรูปแบบของการใช้ชีวิตอย่างผสมผสาน เพราะสามารถใช้เป็นทั้ง “ที่พักอาศัย” และสำหรับ “ที่ประกอบกิจการค้า” ไปพร้อมกันครับ 
         
          จากประวัติศาสตร์ “ตึกแถว” น่าจะเข้ามาเฟื่องฟูใน “สยาม” ประเทศ ตั้งแต่ปลาย รัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 มาพร้อมกับ “พ่อค้าวาณิช” ชาว จีน และชาว ยุโรป แต่ผมเชื่อว่ามาเฟื่องฟูเอากันจริงๆ ก็ในสมัย “พระพุทธเจ้าหลวง” ซึ่งหากจะว่ากันไปตามเนื้อผ้าแล้ว “ตึกแถว” หรือ “เรือนแถว” คือ รูปแบบสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นต่อเนื่องกันเป็นแถวติดๆ กันหลายๆ หน่วย เป็นแนวยาวขนานไปกับถนน อาจจะเป็นอาคารชั้นเดียว สองชั้น หรือสามชั้น หรืออาจมีความสูงไปกว่านั้นก็ไม่ผิดกติกาแต่ประการใด
 
          ในอดีตมีทั้ง “ตึกแถว” เป็น “เรือนไม้” และ “ก่ออิฐถือปูน” หรือผสมผสานระหว่าง “ก่ออิฐถือปูน” กับ “ไม้” เป็นอาคารประเภท “ครึ่งตึกครึ่งไม้” แต่ในปัจจุบันช่างน่าเสียดายเหลือเกินครับอาคารประเภท “ตึกแถว” หรือ “เรือนแถว” ในอดีตที่มีลักษณะเฉพาะตัวแสนจะงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสไตล์ “ชิโน-โปรตุกีส” ที่สร้างขึ้นใน รัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ส่วนใหญ่ได้ถูกรื้อทำลายหรือถูกปล่อยทิ้งร้างให้ทรุดโทรม หรือไม่ก็ประสบ อัคคีภัย ตอนผมเล็กๆ จำได้ว่า “เรือนแถว” ที่สร้างขึ้นแบบ “ครึ่งตึกครึ่งไม้” ของแม่ผมที่ สุรินทร์ ก็ต้องวอดวายเพราะ อัคคีภัย ซึ่งป้องกันได้ยาก เนื่องจากวัสดุในการก่อสร้างบางส่วนเป็นไม้จึงทำให้เป็นเชื้อไฟได้อย่างดี ถ้าผมจะบอกว่า “ตึกแถว” หรือ “เรือนแถว” หรือ “อาคารพาณิชย์” เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเศรษฐกิจของประเทศก็คงไม่ผิดนัก เพราะบรรดาเจ้าสัวใหญ่ที่มั่งคั่งร่ำรวยล้นฟ้าระดับหมื่นล้าน แสนล้าน แทบทุกคนก็ล้วนเติบโตฝึกปรือวิทยายุทธ์มาจาก “ตึกแถว” นี่แหละครับ
 
          ดังที่ผมกล่าวไปแล้วว่า “ตึกแถว” มาเริ่มรุ่งเรืองเฟื่องฟูกันจริงๆ ใน สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล ประกอบกับการที่ พระองค์ได้เสด็จประพาสประเทศน้อยใหญ่หลายครั้งทั้งไกลและใกล้ เช่น ชวา สิงคโปร์ และอีกหลายต่อหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ยุโรป ได้ทรงนำเอารูปแบบ “ตึกแถว” มาเผยแพร่ในพระราชอาณาจักร ที่ยังหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ย่านท่าช้างวังหลวง ย่านท่าเตียน หรือ ย่านหลังกระทรวงกลาโหม ฯลฯ จะเห็นได้ว่า  “ตึกแถว” ที่ได้ถูกสร้างขึ้นในยุคนั้น ยังคงงดงามและได้ทำหน้าที่รับใช้สังคมไทยอย่างสมบูรณ์มายาวนานกว่า 100 ปี จวบจนปัจจุบัน 
 
          ดังนั้น ผมจึงถือได้ว่าเป็น “หน้าที่ทางจริยธรรม” ที่จะต้อง “อนุรักษ์ สืบสาน” และ “พัฒนาของดีมีอยู่” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อาคารบ้านเรือนที่ไม่บาน” ในรูปแบบ “ตึกแถว” ให้คงอยู่คู่สังคมไทยไปตราบนานเท่านาน เพราะที่ผ่านมาพอพูดถึง “ตึกแถว” ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็มักจะมีความเห็นว่าเป็นอาคารที่ไม่มีคุณภาพอีกทั้งขาดความสวยงาม ไม่ได้มีคุณค่าเหมือนเมื่อก่อน เป็นเพียงแค่อาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจการค้า และมักจะถูกใช้เป็นที่พักอาศัยแบบ “ขอไปที” ที่ไม่ใคร่จะถูกสุขลักษณะเท่าใดนัก จึงกลายเป็นที่พักอาศัยแบบจำยอม 
 
          แต่ผมกลับเห็นตรงกันข้าม เพราะผมเห็นว่า “ตึกแถว” “อาคารพาณิชย์” + “โฮมออฟฟิศ” เป็นรูปแบบอาคารบ้านเรือนที่สังคมไทยคงขาดเสียไม่ได้และยังจะอยู่คู่สังคมไทยไปอีกตราบนานเท่านาน ถ้าไม่เชื่อก็ลองเดินทางไปตามหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศจะเห็นได้ว่าศูนย์กลางของธุรกิจทางด้านการค้าทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ไม่มีที่ไหนไม่มี “ตึกแถว” ครับ ดังนั้น จึงต้อง ปรับปรุง ดัดแปลง พัฒนา ต่อยอด “ตึกแถว” ให้ สามารถตอบสนองวิถีชีวิตสมัยใหม่ในยุค “โลกาภิวัตน์” ครับ
 
          เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจครับพอผมได้เผยแพร่แนวคิด “ตึกแถว” “อาคารพาณิชย์” + “โฮมออฟฟิศ” ที่ไม่บาน ทั้งในสไตล์  “K-I”  และ “K-II” ก็มีแฟนๆ จากหลายจังหวัดทั่วประเทศติดต่อกันเข้ามามากมายจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อจะนำเอารูปแบบ “ตึกแถวไม่บาน” ของผมไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นที่ ตรัง พิษณุโลก ชลบุรี บางแสน ศรีราชา และหลายต่อหลายจังหวัด ซึ่งเร็วๆ นี้ ก็อาจจะมี “ตึกแถว” สไตล์  “K-III”  เกิดขึ้นที่ มหาสารคาม เพราะผมได้รับปากกับแฟนพันธุ์แท้ชาว “คนรักบ้าน”  คือ นที สี่สุวรรณ ที่ได้ติดต่อเข้ามาว่าอยากจะลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภท “ตึกแถว” บนที่ดินผืนงามที่มีอยู่    
 
          เสียดายว่าวันนี้พื้นที่หมดเอาไว้โอกาสหน้าผมจะพาแฟนๆ มาชื่นชมความงามของ “ตึกแถว, อาคารพาณิชย์ +  โฮมออฟฟิศ” ที่ไม่บาน กันใหม่ สำหรับวันนี้ก็ชื่นชม “ตึกแถวในสไตล์ K-II”  ที่ “ศรีราชา” ไปพลางๆ ก่อน เอาไว้โอกาสหน้ามาดู “ตึกแถว” “อาคารพาณิชย์” + “โฮมออฟฟิศ” สไตล์  “K-III” ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ มหาสารคาม กันครับ ว่าจะสวยสดงดงามกันแค่ไหน  แต่ขอย้ำนะครับว่า “ตึกแถว” จะอยู่คู่สังคมไทยไปตราบนานเท่านานก็เพราะพวกเราชาว “คนรักบ้าน” มาร่วมด้วยช่วยกัน อนุรักษ์, สืบสาน  และ พัฒนา ต่อยอด ให้ “ตึกแถว”  สามารถตอบโจทย์กับวิถีชีวิตสมัยใหม่ได้มากยิ่งขึ้นครับ   
 
          นอกจากนั้น ผมเชื่อว่าในอนาคต “ตึกแถวไม่บาน” ของ “อาจารย์เชี่ยว ชอบช่วย” ในแต่ละยูนิตก็ควรจะต้องมีช่องลิฟต์โดยสาร เพราะเมื่อ “ตึกแถว” ในปัจจุบันมีความสูงมากขึ้นจาก 2 ชั้นเป็น 4 ชั้น จึงจำเป็นต้องมีลิฟต์ เผื่อเอาไว้สำหรับสมาชิกผู้สูงวัยไม่ต้องลำบากขึ้นลงบันไดหรือจะใช้ขนสัมภาระ ก็สะดวกสบายกันไปทุกฝ่ายครับ
 
          สำหรับแฟนๆ ชาว “คนรักบ้าน” ทั่วประเทศท่านใดที่สนใจการลงทุนในรูปแบบของ “การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” ในยุคที่ต้องเผชิญกับ “วิกฤติซัพไพรม์” และ “วิกฤติหนี้สาธารณะ” ที่กำลังเกิดขึ้นที่ “สหรัฐอเมริกา”  และ “ยุโรป” ซึ่งเป็นการลงทุนในรูปแบบ “ตึกแถว”, “อาคารพาณิชย์” + “โฮมออฟฟิศ” ที่ไม่บาน สามารถติดต่อสอบถามและส่งรายละเอียดได้ที่ เพลินผกา ผิวนวล เบอร์  08-1421-8323 แล้วผมจะทำการวิเคราะห์เจาะลึกอย่าง “ตรงไปตรงมา”  ให้ว่า “จะทำดีไม่ทำดี” หรือ “จะทำได้หรือไม่ได้” เพื่อให้เป็นการลงทุนที่นอกจากจะ “อยู่รอดปลอดภัย” แล้วยัง “คืนทุนไว” อีกทั้งยังสามารถ “ทำกำไรได้มากๆ” ครับ    
 
          สัปดาห์นี้คงมีสาระน่ารู้กันเพียงแค่นี้ ท่านใดที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ในเว็บไซต์ยอดฮิตของชาวคนรักบ้าน  www.homeloverthai.com  แล้วพบกันได้ใหม่ในสัปดาห์หน้าครับ