
2554อันธพาลครองเมืองผู้ดี (จริงเหรอ)?"
2554อันธพาลครองเมืองผู้ดี (จริงเหรอ)?": ประชาธิปไตยที่รัก โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ [email protected]
การจลาจลที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษที่นับเนื่องมาจากสัปดาห์ที่แล้วเป็นเรื่องที่น่าสนใจมิใช่น้อย แต่ข่าวสารในเมืองไทยมักจะสนใจเฉพาะเรื่องราวที่ผิวหน้าของเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องราวของความรุนแรงที่เกิดขึ้น และเรื่องของแถลงการณ์จากฝ่ายรัฐบาล
แต่โดยภาพรวมเรื่องราวที่คนไทยสนใจก็คือเกิดอะไรขึ้นที่เมือง "ผู้ดี"
สำหรับผมแล้วเรายังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการจลาจลเช่นนี้ แต่สิ่งที่สามารถกระทำได้คือการวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีเงื่อนรอยอะไรที่จะทำให้เราเข้าใจความยุ่งเหยิงที่ร้อยเรียงกันในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งประเด็นปัญหาที่เกิดเบื้องหลัง โดยเฉพาะในระดับโครงสร้าง
แต่ในภาพรวมของการรายงานข่าวของบ้านเรา ช่วงแรกก็จะเน้นอยู่สองเรื่อง นั่นก็คือ โอ้เมืองอังกฤษอันตรายเนอะ และ มีคนไทยประสบภัยไหม ?
แล้วมาช่วงนี้ก็ไม่มีประเด็นชัดๆ เว้นแต่เรื่องราวว่ามีความสงบมากขึ้น มีความเสียหาย และฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลนั้นมีเอกภาพในการมองปัญหา แต่จะมีข้อขัดแย้งก็ตรงว่ามีการเชิญตำรวจเก่าของสหรัฐมาเป็นที่ปรึกษาตำรวจนครบาลของอังกฤษ
แต่ที่น่าสนใจกลับอยู่ที่ความสงสัยของบ้านเราว่าทำไมเจ้าเด็กพวกนี้ไม่ถูกดำเนินคดีในฐานะผู้ก่อการร้าย สงสัยว่าประเทศอังกฤษจะย่อหย่อนในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายไปไหม? (จนวันนี้ภาพเริ่มเปลี่ยนไป จากภาพยุคแรกที่เน้นว่าตำรวจอังกฤษยืนดูวัยรุ่นเหล่านี้ทำลายข้าวของ ต่อมาก็มีการรวมตัวของประชาชนเพื่อปกป้องทรัพย์สินของพวกเขาเอง และในท้ายที่สุดก็เป็นข่าวว่าเริ่มมีภาพตำรวจจัดการวัยรุ่นอย่างรุนแรงเช่นกัน)
เมื่อลองพิจารณา การเปิดประชุมสภาและการถกเถียงกันระหว่างนายกรัฐมนตรี จากพรรคอนุรักษนิยม และผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคแรงงาน จะพบนัยที่น่าสนใจยิ่ง ด้วยว่า ในมุมของพรรคอนุรักษนิยมนั้น ประเด็นหลักของเรื่องนั้นอยู่ที่ ความล่มสลายของคุณธรรม (moral collapse) และจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดถึงขั้นประกาศสงครามกับบรรดาแก๊งต่างๆ
ทั้งนี้รวมไปถึงการเชิญอดีตนายตำรวจระดับสูงจากอเมริกาเข้ามาให้คำปรึกษาการทำงานของตำรวจนครบาล ด้วยเชื่อว่าควรจะนำเอาทฤษฎีใหม่มาใช้ นั่นก็คือ ทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องของการซ่อมแซมหน้าต่างที่แตกอย่างรวดเร็ว (broken windows theory) ในความหมายที่ว่า หากมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาก็ควรจะรีบแก้ไข เหมือนว่าเมื่อมีกระจกแตกอยู่ แล้วไม่รีบซ่อม ก็จะยิ่งยั่วยวนให้เกิดการขว้างปากระจกมากขึ้น
ดังนั้นการปรับปรุงชุมชนให้ดีขึ้น (โดยเฉพาะทางกายภาพ) ก็จะเป็นเรื่องที่ควรทำ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นรัฐบาลอนุรักษนิยมที่รัฐบาลก็ไม่สามารถสัญญาได้มากนักว่า จะไม่ปรับลดงบประมาณตำรวจลง ซึ่งขณะที่เกิดเหตุนั้น การปรับลดงบประมาณกำลังกระทำอยู่
เมื่อมองจากด้านพรรคฝ่ายค้าน เขามองว่า สิ่งที่สำคัญก็คือการแก้ปัญหาในระยะยาว คือการไม่ปรับลดสวัสดิการให้แก่ประชาชน (ซึ่งมีมาโดยตลอด) และมองสิ่งที่รัฐบาลอนุรักษนิยมพยายามทำว่าเป็นลักษณะการปล่อยมุกแบบรีบเร่งโดยขาดสติ และความลุ่มลึก (knee-jerk gimmick - แปลว่า ปล่อยมุกเหมือนเคาะเข่าแล้วกระเด้งขึ้นมาเลย)
แนวคิดที่แตกต่างกันระหว่างนายกฯ กับหัวหน้าฝ่ายค้านนี้น่าสนใจ เพราะนายกฯ มือใหม่รายนี้บอกว่า เรื่องไม่เกี่ยวกับการตัดงบ ไม่เกี่ยวกับความยากจน และสีผิว แต่เป็นเรื่องของความถูกกับผิด ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของสื่อในช่วงแรกที่มองว่า เจ้าเด็กรุ่นใหม่นี้ไม่เชื่อฟังใครทั้งนั้น ตั้งแต่พ่อแม่ และรัฐ ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่การเลี้ยงดูลูกของผู้ปกครอง และการสร้างวินัยในโรงเรียน
แม้ว่าทางหนึ่งการพยายามนำเข้าแนวคิดของอเมริกาที่เชื่อว่า การปฏิรูปชุมชนจะเป็นการป้องปรามที่ดี และไม่ต้องเพิ่มงบประมาณตำรวจ แต่ปัญหาใหญ่ของอังกฤษนั้นก็คือ ประเด็นไม่ง่ายนักว่าจะกลับไปสู่รัฐสวัสดิการแบบเดิมที่การศึกษาเป็นภาระของรัฐ (พรรคแรงงานเองก็เจอปัญหานี้มาตลอด) และขณะเดียวกัน การตัดทอนสวัสดิการต่างๆ ก็นำไปสู่ความไม่พอใจของผู้คนที่เสียประโยชน์จากความคาดหวังที่มีต่อสวัสดิการเป็นอย่างยิ่ง
คำถามที่กำลังเกิดขึ้นในอังกฤษน่าสนใจมาก แต่อาจไม่ได้น่าสนใจว่าจะหาทางออกอย่างไร ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เพราะสิ่งที่พวกเขาเผชิญเป็นเรื่องที่สะสมมานานนับจากการลดทอนสวัสดิการของประเทศลง อย่างน้อยนับจากการขึ้นครองอำนาจของแทตเชอร์ เมื่อปลาย ทศวรรษที่ 1970 และถือครองอำนาจยาวนานต่อมาถึงเมเจอร์ มาจนถึงการกลับสู่พรรคแรงงานในกลาง 1990 ในยุคของแบลร์และกอร์ดอน ซึ่งก็ยังไม่สามารถแก้โจทย์เรื่องเศรษฐกิจโดยเฉพาะกับคนผิวสีที่ไม่ได้รับสวัสดิการและโอกาสในสังคม และคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่เติบโตมาในยุคนั้นได้
การโยนไปโยนมาของนักการเมืองสองฝ่ายนั้นมีสาระสำคัญตรงที่ความพยายามจะสะท้อนความต้องการของประชาชนทั้งสองฝ่าย แต่การแก้ปัญหาจริงนั้นอาจจะยังต้องคลำทางไปอีกเยอะ เพราะประเด็นไม่ใช่อยู่แค่ว่าครอบครัวเลี้ยงลูกไม่ดี แต่สังคมนั้นเลี้ยงดูครอบครัวและลูกของพวกเขาได้ดีแค่ไหน ท่ามกลางเงื่อนไขจริงของมาตรการงบประมาณที่เงินหายากแต่น้ำลายนักการเมืองหาง่าย ...