ข่าว

เอกชนเชียร์รัฐปัดฝุ่น"แลนด์บริดจ์"จี้เร่งโครงการก่อนมาเลย์ชิงตัดหน้า

เอกชนเชียร์รัฐปัดฝุ่น"แลนด์บริดจ์"จี้เร่งโครงการก่อนมาเลย์ชิงตัดหน้า

15 ส.ค. 2554

เอกชนเชียร์รัฐปัดฝุ่น"แลนด์บริดจ์"จี้เร่งโครงการก่อนมาเลย์ชิงตัดหน้า : วัชร ปุษยะนาวิน รายงาน

           หลังจากรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เข้ามาบริหารประเทศ โครงการเมกะโปรเจกท์ที่คั่งค้างสมัยรัฐบาล “ทักษิณ” ก็จะถูกนำมาปัดฝุ่นเดินหน้าอีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในโครงการที่สำคัญ และพรรคเพื่อไทยได้นำมาหาเสียงก็คือการผลักดัน ”โครงการแลนด์บริดจ์” สร้างสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงทะเลฝั่งอันดามันและอ่าวไทย เพื่อจะยกระดับให้ไทยกลายเป็นศูนย์การขนส่งทางเรือ และการขนส่งน้ำมันแห่งใหม่ของภูมิภาคอาเซียน

            โครงการดังกล่าวริเริ่มขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล “ทักษิณ” เข้ามาบริหารประเทศ โดยมอบหมายให้บริษัท ดูไบเวิล์ด เข้ามาศึกษาความเป็นไปได้เชิงเศรษฐกิจ ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า ขณะนี้ช่องแคบมะละกาอยู่ระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย มีความยาวประมาณ 600 ไมล์ เป็นเส้นทางเดินเรือหลักเชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับทะเลจีนใต้ ปัจจุบันมีความแออัดมาก มีเรือผ่านเข้า-ออกวันละกว่า 900 ลำ หรือตกปีละ 5 หมื่นลำ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าคลองสุเอซที่ประเทศอียิปต์ประมาณ 2 เท่า และมากกว่าคลองปานามาในประเทศปานามาประมาณ 3 เท่า ดังนั้นจึงมีความเหมาะสมที่จะสร้างทางเชื่อมแห่งใหม่ระหว่าง 2 ภูมิภาคนี้

 

เอกชนหนุนแลนด์บริดจ์ลดต้นทุน

            สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ไม่เพียงแต่ภาครัฐจะให้ความสนใจเท่านั้น ในส่วนภาคเอกชนด้านโลจิสติกส์ก็เห็นด้วยกับโครงการนี้ โดยนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผู้คร่ำหวอดในแวดวงโลจิสติกส์ ให้ความเห็นว่า โครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะสร้างเชื่อมทะเลฝั่งอันดามันและอ่าวไทยที่ภาคใต้นี้ มองในแง่โลจิสติกส์เอกชนเห็นด้วย เพราะจะประหยัดค่าขนส่ง โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ที่ต้องวิ่งอ้อมแหลมมะละกา ถึงแม้การขนส่งขึ้นลงที่ท่าเรือทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทยจะทำให้มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพิ่ม แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับสายการเดินเรือ เพราะช่องแคบมะละกาขณะนี้แออัดมากต้องรอ 2-3 วัน กว่าจะผ่านไปได้ ซึ่งหากประหยัดเวลาตรงนี้ได้ก็จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้มาก

            อย่างไรก็ตาม การลงทุนโครงการแลนด์บริดจ์ หากสร้างแค่ท่าเรือขนส่งสินค้าและท่อส่งน้ำมันเพียงอย่างเดียวอาจไม่คุ้มกับการลงทุน จึงควรจะสร้างนิคมอุตสาหกรรมเซาร์เทิร์นซีบอร์ดและปิโตรเคมีและควบคู่ไปด้วย เพื่อแปรรูปน้ำมันดิบ และแก๊ส สร้างมูลค่าเพิ่มนำเงินเข้าประเทศ แต่จะต้องเป็นโรงงานที่ปลอดมลพิษป้องกันเกิดปัญหาแบบอีสต์เทิร์นซีบอร์ดที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อต้าน จนมีผลกระทบให้โครงการต่างๆ ต้องหยุดชะงักไปเป็นระยะเวลานาน

            ทั้งนี้ ภาครัฐควรจะนำร่องเข้ามาสร้างท่าเรือน้ำลึกให้เสร็จก่อน คาดว่าค่าก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 ฝั่งจะมีมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ไม่รวมค่าก่อสร้างท่อขนส่งน้ำมัน และถนน จากนั้นภาคอุตสาหกรรมจึงจะมีความมั่นใจเข้ามาลงทุน ซึ่งหากมีท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 ฝั่งแล้ว ก็จะเกิดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเข้ามาตั้งอีกมากมายนอกเหนือจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เช่น อุตสาหกรรมการซ่อม สร้างตู้คอนเทนเนอร์ โดยในแต่ละปีนี้เกาะปีนังของมาเลเซียใช้โอกาสจากการผ่านช่องแคบมะละกาสร้างมูลค่าอุตสาหกรรมตู้คอนเทนเนอร์ไม่ต่ำกว่าปีละ 3-4 พันล้านบาท ยังไม่รวมอุตสาหกรรมซ่อมบำรุงเรือ และอื่นๆ อีกมาก 

 

"มาเลย์"ไล่จี้ผุดโครงการแซงไทย

             ด้าน นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า โครงการแลนด์บริดจ์จะเกิดประโยชน์สำหรับประเทศมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดโครงการว่ามีขนาดใหญ่แค่ไหน และประเทศผู้ใช้น้ำมันอย่างญี่ปุ่นสนใจเข้าร่วมลงทุนหรือไม่ แต่ในความเห็นส่วนตัวมองว่า หากรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการนี้จริง เป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยลดระยะเวลาการขนส่งน้ำมันที่จากตะวันออกกลลาง ที่ต้องอ้อมไปยังสิงคโปร์ไปยังลูกค้ารายใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน ซึ่งถ้าหากญี่ปุ่นเข้าร่วมในโครงการนี้ก็จะทำให้เกิดผลสำเร็จโดยง่าย

            นอกจากนี้ ควรลงทุนให้เป็นโครงการขนาดใหญ่ วางท่อส่งน้ำมันเชื่อม 2 ฝั่งทะเล และสร้างท่อเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ให้สามารถรองรับเรือขนส่งน้ำมันซูเปอร์แท็งเกอร์ได้ รวมทั้งสร้างโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกแก๊ส เพราะถ้าไม่มีโรงกลั่นน้ำมันก็จะไม่มีแรงดึงดูดพอ ซึ่งจะทำให้ต้องลงทุนในโครงการนี้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท

            อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลตัดสินใจว่าจะลงทุนจริง ก็ต้องรีบให้เห็นผลเป็นรูปธรรมเร็วที่สุด เพราะขณะนี้มาเลเซียก็มีโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อม 2 ฝั่งทะเลเหมือนกัน แต่ยังอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งโครงการนี้ถ้าใครตั้งขึ้นก่อนก็จะได้เปรียบ เพราะโครงการขนาดใหญ่แบบนี้มีได้แค่ที่เดียว ซึ่งถึงแม้ว่าไทยจะเคยมีการศึกษาไปตั้งแต่ปี 2551 ก็ต้องปัดฝุ่นนำมาศึกษาใหม่เพราะทิ้งเวลามานาน รวมทั้งจะต้องศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) นำเข้าประชาพิจารณ์ และต้องฝ่าฟันการต่อต้านจะชาวบ้านและเอ็นจีโอ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะผลักดันให้รวดเร็ว ต่างจากมาเลเซียที่รัฐบาลทำงานได้เร็วกว่า

            สำหรับโครงการคู่แข่งของไทยที่ประเทศมาเลเซียได้เร่งเดินหน้า มีแผนจะเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการพลังงานในภูมิภาค รวมถึงการสร้างเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ ที่สำคัญมีการมุ่งเน้นอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมัน ปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ด้วย รวมถึงพัฒนาและขยายท่าเรือกวนตัน ท่าเรือเคมามัน และท่าเรือ เกอร์เต เชื่อมทะเล 2 ฝั่ง

 

คาดลงทุน 1.5 ล้านล้านครบวงจร

            โครงการ “แลนด์บริดจ์” ที่บริษัทดูไบเวิล์ด ได้สำรวจไว้นั้น จะเป็นการเชื่อมสองฟากฝั่งทะเลเข้าหากันด้วยเส้นทางรถไฟ ถนนมอเตอร์เวย์ ท่อน้ำมันและท่อก๊าซ โดยพื้นที่ที่จะดำเนินการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันเชื่อมต่อระหว่างฝั่งอันดามัน คือ พื้นที่ใกล้กับท่าเรือปากบารา ที่ จ.สตูล เชื่อมกับฝั่งอ่าวไทยบริเวณ ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา รวมทั้งจะมีการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมต่อพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งยังมีพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ (ฟรีโซน) มีนิคมอุตสาหกรรมที่มีการลงทุน ทั้งอุตสาหกรรมหนักและเบา โดยอุตสาหกรรมหนัก เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน และเหล็กจะอยู่ในฝั่งอ่าวไทย

            ส่วนอุตสาหกรรมเบาน่าจะอยู่ฝั่งอันดามัน ซึ่งการพัฒนาระบบขนส่งทางถนน ทางรถไฟ และทางท่อ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและงานวางระบบ 4 แสนล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวจะทำให้ไทยเป็นแหล่งขนถ่ายน้ำมันจากตะวันออกกลาง เพื่อส่งต่อไปยังจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งเป็นตลาดบริโภคน้ำมันขนาดใหญ่ทางฝั่งตะวันออก เพราะสามารถร่นระยะทางการขนส่งสินค้าไปยังฝั่งตะวันออกได้อย่างมาก