
วัดแม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์)
วัดแม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์) : พันเรื่องถิ่นแผ่นดินไทย โดย ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ และคณะ
ชาวโปรตุเกสเป็นฝรั่งตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาค้าขายกับอยุธยาเมื่อครั้งเป็นราชธานี โดยในปี พ.ศ.2054 โปรตุเกสได้นำเรือรบมาปิดเมืองท่ามะละกาเอาไว้ ด้วยเหตุผลที่มะละกาเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญระหว่างอยุธยา อินเดียและจีน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือของโลกในเวลานั้น ประกอบกับมะละกาเคยเป็นของอยุธยา และกำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ ดังนั้นชาติโปรตุเกสจึงได้มอบหมายให้ นายดูอาร์ตี เฟอร์นานเดซ เป็นผู้แทนคนแรกเข้ามาเจริญไมตรีทางการค้ากับราชสำนักอยุธยา ในปี พ.ศ.2059
การเจริญไมตรีในครั้งนั้น ตรงกับรัชสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ.2034-2072) โปรตุเกสได้เสนอสิทธิพิเศษให้แก่ราชสำนักอยุธยาไว้ 2 ประการที่สำคัญด้วยกัน ประการแรกคือ ให้อยุธยาส่งเรือไปทำการค้าที่มะละกาได้อย่างเสรี ประการที่สอง ต่อมาโปรตุเกสจะให้ความช่วยเหลือด้านการทหาร และกองเรือแก่อยุธยา ในสถานการณ์ที่อยุธยามีภัย ภายหลังจากการเจริญไมตรี 1 เดือน โปรตุเกสก็สามารถยึดเมืองท่ามะละกาไว้ได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวโปรตุเกสได้มาพำนักและทำมาค้าขายในอยุธยาเป็นจำนวนมาก
ครั้นในปี พ.ศ.2079 หรืออีก 20 ปีต่อมา ในรัชสมัยของพระไชยราชาธิราชได้ทรงทำศึกกับพม่าที่เชียงกรานตามบันทึกของไทย แต่สำหรับในบันทึกของพม่าคือ การศึกที่ทวาย กองทหารรักษาพระองค์ชาวโปรตุเกสได้ช่วยกองทัพอยุธยาของพระองค์รบเป็นสามารถ ภายหลังจึงได้รับปูนบำเหน็จพระราชทานที่ดินสำหรับสร้างวัด และสิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามแนวทางศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ที่ทหารราชองครักษ์ชาวโปรตุเกสนับถือ ชาวโปรตุเกสได้พำนักอยู่ที่อยุธยาตราบจนสิ้นกรุงครั้งหลังสุด ในปี พ.ศ.2310
เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ชาวโปรตุเกสได้นำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเลื่อมใสคือรูปปั้นแม่พระลูกประคำ และรูปปั้นพระศพของพระเยซู ที่ประดิษฐานที่วัดนักบุญยอเซฟที่กรุงเก่าอยุธยาล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา มาประดษฐานที่กรุงเทพฯ โดยสร้างที่พำนักชั่วคราวให้ชื่อว่า “ค่ายแม่พระลูกประคำ” และภายหลังเมื่อมีการสถาปนากรุงเทพฯ ขึ้นเป็นราชธานีแห่งใหม่ รัชกาลที่ 1 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณตลาดน้อย หรือเขตสัมพันธวงศ์ในปัจจุบัน ให้สร้างขึ้นเป็น “วัดแม่พระลูกประคำ” ขึ้น
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า แต่เดิมที่ดินบริเวณนี้ใช้เป็นที่ประหารนักโทษ พวกคริสตังก็เลยเรียกวัดว่า “คาวารี” (Calvary) ซึ่งเป็นที่ประหารพระเยซู ส่วนคนไทยเรียกเพี้ยนไปเป็นวัดกาลหว่าร์ และในปี พ.ศ.2363 องเชียงสือ ได้นำชาวญวนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารรัชกาลที่ 2 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวญวนพำนักบริเวณใกล้วัด ภายหลังเมื่อชาวโปรตุเกสได้แยกย้ายนิวาสสถานไปค้าขายยังที่อื่น วัดกาลหว่าร์จึงได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจีนและชาวญวนที่ตลาดน้อยสืบมาจนทุกวันนี้
พรุ่งนี้เล่าเรื่อง “อาณาจักรสุโขทัย” โปรดได้ติดตามนะครับ