ข่าว

เสร็จนาฆ่าโคถึก

เสร็จนาฆ่าโคถึก

08 ส.ค. 2554

เสร็จนาฆ่าโคถึก : วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล

           มีคำพูดประโยคหนึ่งซึ่งได้ยินได้ฟังกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ทางการเมือง คำพูดประโยคนั้นก็คือ “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ซึ่งถ้าจะให้เดา ผมคิดว่าคำพูดนี้น่าจะมีที่มาจากประวัติศาสตร์หรือวรรณกรรมของจีน เนื่องจากในสมัยโบราณที่เมืองจีนมีศึกสงครามและการรบพุ่งหลายครั้งหลายครา นอกจากนี้แนวคิดดังกล่าวไม่สู้จะสอดคล้องกับวิธีคิดและวิถีปฏิบัติของคนไทยเท่าไรนัก

            โดยปกติแล้ว คนที่พูดคำพูดเช่นนี้ก็คงจะเป็น “ขุนพล” นั่นเอง เพราะ “โคถึก” มันพูดภาษามนุษย์ไม่ได้อยู่แล้ว และก็เป็นการมองในสายตาและความรู้สึกที่เจ็บปวดของบรรดาขุนพลเหล่านั้น แต่อีกด้านหนึ่ง ในทัศนะของผู้เป็นเจ้าของโค หรือผู้นำก๊กต่างๆ แล้ว เมื่อหมดฤดูกาลทำนา ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แรงโคกระบือสำหรับปีนั้นอีกต่อไปแล้ว การเลี้ยงโคกระบือไว้ย่อมเป็นการสิ้นเปลืองทั้งค่าอาหารและการดูแลรักษา และเมื่อโคมีอายุมากขึ้นก็ทำงานได้ไม่เต็มที่เช่นโคหนุ่ม ประกอบกับบางช่วงผู้เป็นเจ้าของก็อาจประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหารการกิน ดังนั้น การฆ่าโคหลังเสร็จการทำนาจึงเป็นเรื่องปกติ (สำหรับเจ้าของโค) เมื่อใกล้จะถึงฤดูทำนาปีหน้าก็หาซื้อโคหนุ่มที่มีกำลังวังชามาใช้งานแทนโคตัวเก่า

            แต่สำหรับการฆ่าขุนพลค่อนข้างจะมีความซับซ้อนกว่านั้น เพราะถึงแม้ในการทำสงคราม ขุนพลจะมีบทบาทอย่างสูงต่อการต้านทานศัตรูที่มารุกราน หรือแผ่ขยายอาณาจักร แต่เมื่อเสร็จศึกแล้ว ขุนพลเหล่านั้นก็กลับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อตัวผู้นำก๊ก เพราะนอกจากมีฝีไม้ลายมือในการรบพุ่งและมีกำลังพลอยู่ในมือแล้ว ความทะเยอทะยานในตัวของขุนพลเอง การเรียกร้องทวงบุญคุณไม่รู้จักจบจักสิ้น หรือแรงยุแหย่จากผู้คนรอบข้าง ก็อาจทำให้ขุนพลหันมาเล่นงานผู้นำก๊กเสียเอง เพื่อตั้งตัวเป็นใหญ่แทน ดังนั้น เมื่อเสร็จศึกแล้ว จึงเกิดกรณีฆ่าขุนพลขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นหอกข้างแคร่

            ถ้ามองจากทั้งฟากของโคและขุนพล กับมองจากฟากของเจ้าของโคและผู้นำก๊ก เราก็คงจะเข้าใจทั้งสองฝ่ายมากขึ้นและเข้าใจความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ได้มากขึ้นตามไปด้วย และของบางสิ่งหรือคนบางคนอาจจะมีประโยชน์ในเวลาหนึ่ง แต่เมื่อหมดเวลานั้นแล้ว ก็อาจกลับกลายเป็นสิ่งที่เกะกะขวางหูขวางตาหรือตัวอันตรายไปได้เหมือนกัน ดังนั้น ทั้งโคและขุนพลควรที่จะต้องทำใจไว้แต่เนิ่นๆ เมื่อหมดหน้านาหรือสิ้นศึกสงครามแล้ว

            หากจะถามว่า การฆ่าขุนพลหรือขุนทหารที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันเคยมีในประวัติศาสตร์ไทยหรือไม่ เท่าที่ผมจำได้เคยมีในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง เข้าใจว่าจะเป็นในแผ่นดินสมเด็จพระเชษฐาธิราช เมื่อพระองค์ทรงเกิดความหวาดระแวง เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่มีกำลังมาก จึงคิดจะกำจัด แต่พระยากลาโหมฯ รู้ตัวก่อน จึงชิงสำเร็จโทษสมเด็จพระเชษฐาธิราช แล้วยกพระโอรสองค์เล็กขึ้นครองราชย์แทน ต่อมาเจ้าพระยากลาโหมฯ ก็ปลดสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ และปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเมื่อขึ้นครองราชย์ก็ทรงสังหารนายทหารที่ร่วมก่อการยึดอำนาจด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ”ธรรมดาผู้ที่มีศรัทธาจะสร้างเจดีย์ ย่อมต้องตั้งนั่งร้านด้วยไม่ไผ่ขึ้นก่อน แต่เมื่อสร้างเจดีย์สำเร็จแล้ว ก็ย่อมรื้อนั่งร้านลง เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ ก็จะทำให้เจดีย์รกรุงรังไม่น่าดูขาดความน่าเลื่อมใส”

            ครับ การสงครามที่ผู้นำก๊กไม่ได้นำหน้าออกศึกเอง แต่พึ่งพาความสามารถของขุนพล เสร็จศึกแล้วก็มักจะเกิดอาการพิอักพิอ่วนกันทั้งสองฝ่าย และถึงแม้จะชนะศึกภายนอก แต่ก็มักจะแพ้ศึกภายในจากฝีมือขุนพลของตนเองนั่นแหละครับ ไม่เชื่อก็ลองย้อนกลับไปดูตัวอย่างเหตุการณ์ในเมืองไทยเมื่อสองปีที่แล้ว ก็คงจะมองเห็นอะไรได้รางๆ