ข่าว

ผ่าเกมชิงกรรมสิทธิ์‘เมล็ดพันธุ์พืช’

ผ่าเกมชิงกรรมสิทธิ์‘เมล็ดพันธุ์พืช’

24 ก.ค. 2554

ผ่ากลเกมชิงกรรมสิทธิ์ ‘เมล็ดพันธุ์’ ระหว่างผู้ประกอบการค้าเมล็ดพันธุ์กับเกษตรกรรายย่อย นายกส.การค้าเมล็ดพันธุ์ไทย ระบุ พรบ.คุ้มครองพันธุ์พืช “ไม่เป็นธรรม”

            จากกรณีการอายัดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดของชาวตำบลน้ำแพร่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ในเขตจังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตเมล็ดพันธุ์ตาม พ.ร.บ.พันธุ์พืช พ.ศ.2518 เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดดังกล่าว เป็นเมล็ดพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นโดย นายพิรุณ ทองดี ซึ่งเมื่อปี 2522-2523 เป็นหนึ่งในเกษตรกรทำนาน้ำแพร่ผู้ปลูกข้าวโพดเมล็ดพันธุ์ให้แก่บริษัทเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ภายหลังได้เลิกไป เพราะทางบริษัทย้ายฐานการผลิตไปยังแหล่งอื่น เนื่องจากชาวบ้านนำเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ปลูกให้บริษัทไปขายให้กับพ่อค้าอื่นที่ให้ราคาสูงกว่า หลังจากนั้น นายพิรุณได้พัฒนาเมล็ดพันธุ์ต่อจากเมล็ดพันธุ์ของบริษัทที่เขาเก็บไว้

                เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลก ชาวบ้านจึงเชื่อว่า เป็นเพราะทางบริษัทเมล็ดพันธุ์แห่งนี้แจ้งให้เจ้าหน้าที่รัฐทราบเพื่อดำเนินการอายัด เนื่องจากไม่สามารถดำเนินการในข้อหาละเมิดได้เพราะยังไม่มีการขึ้นทะเบียนคุ้มครอง เป็นการกลั่นแกล้งเพื่อไม่ให้ชาวบ้านสามารถขายเมล็ดพันธุ์ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็เคยค้าขายเป็นปกติ

                จะเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ ไม่สามารถยืนยันได้ แต่การค้าเมล็ดพันธุ์โดยไม่มีใบอนุญาตก็เป็นสิ่งที่กฎหมายห้ามเอาไว้จริงๆ ด้าน นายพาโชค พงษ์พานิช นายกสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สมาคมด้านเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการแก้ไข พรบ.คุ้มครองพันธุ์พืช (อีก 2 สมาคมคือสมาคมปรับปรุงพันธุ์และขยายพันธุ์พืชแห่งประเทศไทย และสมาคมเมล็ดพันธุ์แห่งประเทศไทย) กล่าวว่า

                “ปัจจุบันนี้บริษัทไม่สามารถฟ้องละเมิดในตัวเมล็ดพันธุ์ได้ แม้ตอนนี้จะมีกรณีกันอยู่ แต่ไม่มีกฎหมายที่ใช้บังคับโดยตรงที่บอกว่าห้ามละเมิด มันดูเหมือนว่าจะมี แต่ก็ไม่เรียบร้อย จึงต้องใช้กฎหมายอื่น เช่น การละเมิดตราการค้า หรือการผลิตโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ยังไม่มีกฎหมายที่ดำเนินการได้โดยตรง”

                เขาอธิบายว่า การศึกษา วิจัย ปรับปรุงพันธุ์พืช ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 ปี มีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำปีละ 10 ล้านบาท โดย 1-6 ปีแรกจะหมดไปกับการวิจัย ส่วนปีที่ 7-8 คือการทดสอบในระดับแปลงเกษตรกร ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นสิ่งการันตีได้ว่าการปรับปรุงพันธุ์จะประสบความสำเร็จ

                การละเมิดและการลักลอบผลิตเมล็ดพันธุ์ของผู้อื่นหรือการลักลอบซื้อเมล็ดพันธุ์จากแปลงผลิต จึงนับเป็นปัญหาใหญ่ประการหนึ่งของธุรกิจเมล็ดพันธุ์ที่สร้างความเสียหายแก่ผู้ผลิตและทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน แม้จะยังไม่มีการเก็บรวบรวมสถิติอย่างเป็นทางการ แต่จากการพูดคุยกันเป็นการภายในของสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย คาดว่า ปีนี้น่าจะมีการละเมิดการคุ้มครองเมล็ดพันธุ์สูงถึง 5,000 ตัน

                เพราะแม้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยจะมี พรบ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ซึ่งระบุให้มีการคุ้มครองสิทธิในพันธุ์พืชใหม่ที่มีผู้พัฒนาขึ้น แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่าไม่สามารถคุ้มครองได้ตามกฎหมาย ทั้งนี้ก็เพราะว่าในมาตรา 19 (5) ระบุว่า การจะขอจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ได้จะต้องมี

                ‘ข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ในกรณีที่มีการใช้พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปหรือพันธุ์พืชป่าหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของพันธุ์พืชดังกล่าวในการปรับปรุงพันธุ์สำหรับใช้ประโยชน์ในทางการค้า’

                แต่ว่า ‘กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตเก็บ จัดหา หรือรวบรวมพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปหรือพันธุ์พืชป่า เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ ศึกษา ทดลอง หรือวิจัยเพื่อประโยชน์ในทางการค้า และการทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ พ.ศ.2553’เพิ่งจะได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา

                ดร.จารุวรรณ จาติเสถียร ผู้อำนวยการคุ้มครองพันธุ์พืช กองคุ้มครองพันธุ์พืช บอกว่า ขณะนี้มีคำขอที่ไม่สมบูรณ์เพราะติดมาตรา 19 (5) อยู่ 466 คำขอ ซึ่งเป็นเหตุให้กรมวิชาการเกษตรต้องการคลายล็อคตัวนี้ จึงดำเนินขอแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช ขณะนี้อยู่ในชั้นกฤษฎีกา

                เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกจับจ้องจากฟากเอ็นจีโอที่มองว่า ภาครัฐกำลังแก้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอกชน เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์

                นายพาโชค ซึ่งถือเป็นแทนจากภาคธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ยืนยันว่า เรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ใช่ประเด็น

                “เอกชนไม่กลัวแบ่งปันผลประโยชน์ แต่ต้องมีกติกาที่ถูกต้อง ชัดเจน”

                กติกาที่ถูกต้องและชัดเจนในมุมของภาคธุรกิจเมล็ดพันธุ์คืออะไร?

                ปัญหาของ พรบ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ในมุมมองของภาคธุรกิจเมล็ดพันธุ์อยู่ที่นิยามของคำว่า พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป ซึ่งมาตราที่ 3 ระบุว่า

                ‘พันธุ์พืชที่กำเนิดภายในประเทศหรือมีอยู่ในประเทศ ซึ่งได้มีการใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย และให้หมายความรวมถึงพันธุ์พืชที่ไม่ใช่พันธุ์พืชใหม่ พันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น หรือพันธุ์พืชป่า’

                นายพาโชค อธิบายว่า นิยามนี้ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อภาคธุรกิจ

                “กฎหมายนี้ใช้ไม่ได้เพราะระบุว่าการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ต้องจดทะเบียน ใครที่มีพันธุ์พืชใหม่ที่ทำการวิจัยได้พันธุ์มาตั้งแต่ปี 2542 แล้วมาขึ้นทะเบียนเป็นพันธุ์พืชใหม่จะต้องได้รับการคุ้มครอง แต่ว่ากระบวนการที่ขอรับการคุ้มครองจะต้องแจ้งด้วยว่า พันธุ์พืชใหม่ได้มาจากไหน ซึ่งเมื่อถามแบบนี้ก็โยงกลับไปที่ว่าส่วนใหญ่พันธุ์พืชที่นำมาพัฒนาเป็นพันธุ์พืชใหม่ก็เข้าคำจำกัดความว่าเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปทั้งหมด เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งคนที่ยื่นขอคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ในขั้นตอนของการแบ่งปันผลประโยชน์ยังไม่มีการดำเนินการเลย กฎหมายก็เลยคาอยู่อย่างนี้ บังคับใช้ไม่ได้

                “ปัญหานี้ยังต่อเนื่องอีกว่า เอกชนกลัวว่าต้องแบ่งปันผลประโยชน์หรือ? เอกชนไม่ได้กลัว ถ้าเอกชนเอาพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปที่เป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปจริงๆ มาใช้เพื่อปรับปรุงพันธุ์ แล้วต้องทำการแบ่งปันผลประโยชน์ อันนี้ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ากฎหมายฉบับนี้นิยามรวมหมดเลย

                ยกตัวอย่างว่าในการปรับปรุงพันธุ์พืชจะต้องมีพันธุ์เริ่มต้น บางคนก็เอามาจากต่างประเทศ บางคนก็เอามาจากที่มีอยู่ในประเทศ ซึ่งธุรกิจเมล็ดพันธุ์มันเกิดเมื่อประมาณปี 2522 ทุกคนก็รวบรวมพันธุ์เพื่อศึกษา พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนพันธุ์ที่ได้ไม่เหมือนพันธุ์ทั่วไปแล้ว เพราะเขาผสมพันธุ์ต่อยอด แต่กฎหมายนี้บอกว่าต้นพันธุ์ที่เขาใช้ปรับปรุงพันธุ์เป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปจึงต้องแบ่งปันผลประโยชน์

                “ทุกอย่างที่ปลูกในประเทศไทย เอาจากต่างประเทศมาปลูก เก็บเมล็ดปลูกต่อก็กลายเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปเลย ถ้าใครจะเอาไปใช้ประโยชน์ ศึกษา วิจัย เพื่อปรับปรุงพันธุ์ก็ต้องขออนุญาต ทั้งที่ราชการไม่มีพันธุ์นี้อยู่ในมือด้วยซ้ำ นี่คือหัวใจของปัญหาของกฎหมายตัวนี้ในปัจจุบัน พันธุ์ใหม่จึงคุ้มครองไม่ได้ เพราะในทางปฏิบัติมันทำไม่ได้ คุณเอาเรื่องการอนุรักษ์มารวมด้วย คุณบอกว่าต้องการให้เกษตรกรหวงแหนอนุรักษ์พันธุ์ มันไม่เกี่ยว นั่นก็ว่ากันไปอีกโครงการหนึ่ง คุณจะแบ่งปันผลประโยชน์พร้อมกับใช้หลักความหลากหลายทางชีวภาพ มันไม่ได้

                 คุณจะให้ความคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ก็คุ้มครองไป ใครเข้าถึงทรัพยากรท้องถิ่นของประเทศไทยและต้องแบ่งปันผลประโยชน์ คุณก็ว่ามามีอะไรบ้าง ไม่ใช่เอาพันธุ์ที่อยู่ในมือเอกชนที่คนอื่นไม่มีและเป็นความลับทางการค้ามาเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป”

                 นายพาโชคอธิบายว่า ด้วยกติกาเช่นนี้จึงทำให้การลงทุนในด้านการศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงพันธุ์พืชในประเทศไทยหยุดชะงัก การมีเมล็ดพันธุ์ที่ดีช่วยให้ต้นทุนการผลิตต่ำและได้ผลผลิตต่อไร่สูง แต่หากไม่มีการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เกิด ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อเนื่องกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตร

                 เขายกตัวอย่างว่า ปี 2518 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 12 ล้านไร่ ผลิตข้าวโพดได้ประมาณ 3.5 ล้านตัน แต่ ณ วันนี้พื้นที่ปลูกข้าวโพดลดลงครึ่งหนึ่งเหลือ 6 ล้านไร่ แต่สามารถผลิตได้ 4 ล้านตัน เนื่องจากประเทศไทยมีพันธุ์ข้าวโพดที่ดี

                 อีกทั้งในกฎหมายฉบับนี้ยังมีข้อติดขัดในการปฏิบัติจริง นายพาโชค กล่าวว่า

                 “ในทางปฏิบัติ เราเริ่มต้นโดยที่ยังไม่รู้ว่าผลประโยชน์จะเป็นยังไง พันธุ์พันธุ์หนึ่งถ้าเริ่มวันนี้ อีก 8 ปีได้ แต่ต้องขออนุญาตและตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ตกลงในสิ่งที่เราก็ยังไม่รู้ว่า มันอาจจะไม่ได้เป็นการค้าก็ได้ อาจจะล้มเลิกไป จุดนี้จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่ง

                 “สองคือพันธุ์ของเรามีเยอะมาก เราต้องขออนุญาตทั้งหมดเลยหรือเปล่า ต้องให้รายละเอียดกับภาครัฐว่าแต่ละพันธุ์พัฒนายังไง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ารัฐจะไม่ทำข้อมูลของเราหลุดรั่วออกไป เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความลับทางการค้า และยังต้องรายงานทุกปีว่าเรายังใช้อยู่หรือไม่ มันเป็นภาระยุ่งยาก ซึ่งถ้ามันเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปจริงๆ ก็ยอมรับ ถ้าเราอยากใช้เราก็ต้องขออนุญาต แต่ถ้าเราใช้แค่พันธุ์ของเรา เราก็ไม่ควรต้องมีภาระส่วนนี้”

                 เหตุนี้ ในร่างแก้ไขกฎหมายของทางกรมวิชาการเกษตรจึงได้เปลี่ยนแปลงนิยามพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปว่า

                 ‘พันธุ์พืชที่กำเนิดภายในประเทศหรือมีอยู่ในประเทศ ซึ่งได้มีการใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ไม่รวมถึงพันธุ์พืชที่บุคคลได้มาจากการพัฒนา คัดเลือก หรือปรับปรุงพันธุ์ และยังอยู่ในความครอบครองของบุคคลดังกล่าว’

                 อย่างไรก็ตาม ในร่างแก้ไขที่กรมวิชาการเกษตรเสนอยังมีการแก้ไขในประเด็นอื่นๆ เช่น การขยายเวลาการคุ้มครอง จากเดิมที่กำหนดว่าพืชที่ให้ผลผลิตหลังจากปลูกภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี มีอายุการคุ้มครอง 12 ปี, พืชที่ให้ผลผลิตหลังจากปลูกในเวลาเกินกว่า 2 ปี มีอายุการคุ้มครอง 17 ปี และพืชที่ใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้ที่ให้ผลผลิตหลังจากปลูกเกินกว่า 2 ปี มีอายุการคุ้มครอง 27 ปี ถูกแก้ไขใหม่ให้มีการคุ้มครอง 25 ปีสำหรับพืชยืนต้น และ 20 ปีสำหรับพืชชนิดอื่น และยังให้สิทธิแก่ผู้ที่ได้รับการคุ้มครองสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดได้

                 การที่ต้องขยายระยะเวลาการคุ้มครอง นายพาโชคอธิบายว่า เมล็ดพันธุ์บางตัวเมื่อออกสู่ตลาด กว่าจะได้รับความนิยมอาจต้องใช้ระยะเวลา 5-6 ปี ผลตอบแทนที่กลับคืนมายังไม่ทันคุ้มกับต้นทุนที่เสียไปก็หมดระยะเวลาการคุ้มครองเสียแล้ว

                และหากเป็นไปได้ เป้าหมายของภาคธุรกิจเมล็ดพันธุ์ต้องการให้มีการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญายูปอฟ (The International Union for the Protection of New Varieties of Plants: UPOV) หรืออนุสัญญาว่าการด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ค.ศ.1991 ซึ่งจะต้องมีการแยกกฎหมายให้ชัดเจนระหว่างการคุ้มครองพันธุ์พืช การอนุรักษ์ และการแบ่งปันผลประโยชน์ นายพาโชคกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก

                “จะเข้ายูปอฟได้ ต้องแก้กฎหมายตัวนี้ให้สอดคล้องกับหลักสากลที่ยอมรับได้ ไม่ต้องเหมือน ยูปอฟก็มีหลักของเขาอยู่ แต่ถ้าอันไหนที่เรารับไม่ได้ เราก็ปรับให้ได้เฉพาะพื้นฐานขั้นต่ำของเขา เราก็ต้องทำแบบนั้นถ้าคิดว่าทำได้ ขั้นต่ำต้องมีเงื่อนไขตามเขา แต่กว่าจะไปถึงได้ ไม่ง่าย เพราะมีคนต้านเยอะ คือกลัวเรื่องการผูกขาด แต่ถ้าเราอยากได้พันธุ์ดีเราก็ต้องส่งเสริมให้คนมาลงทุน ถ้ากลัวการผูกขาดก็ต้องหามาตรการออกมา แต่ไม่ใช่มาบล็อกตรงนี้”

                เฉพาะหน้านี้ประเด็นเรื่องนิยามจึงเป็นเป้าหมายหลักของภาคธุรกิจเมล็ดพันธุ์ แต่เขาชี้ให้เห็นข้อดีของการเป็นสมาชิกภาคียูปอฟว่า

                “ถ้าใช้ยูปอฟได้ก็ดี เมล็ดพันธุ์เราไม่ได้ขายเฉพาะประเทศไทยที่เดียว เราขายประเทศอื่นด้วย ถ้าไทยเป็นประเทศสมาชิกยูปอฟ พันธุ์เราก็จะได้รับความคุ้มครองโดยอัตโนมัติ ใครมาละเมิดพันธุ์เราในประเทศอื่นๆ เราสามารถดำเนินการได้เพื่อปกป้องสิทธิของเรา

                ขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถละเมิดสิทธิของคนอื่นได้ ในแง่ธุรกิจเราคิดว่ามันเป็นสากล เพราะทุกวันนี้เราต้องเข้าใจว่าธุรกิจพันธุ์พืชมันเปลี่ยนไปแปลงจากสมัย 30 ปีที่ผ่านมา มันเป็นธุรกิจจริงๆ ถ้าเราจะหวังช่วยเกษตรกร นี่คือการช่วยทางอ้อม เพราะเราพยายามปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้ผลผลิตโดยมีต้นทุนต่ำและจ่ายในราคาที่เหมาะสม เพราะถ้าราคาสูง ปลูกแล้วไม่คุ้ม เขาก็ไม่ซื้อไปปลูก

                เพราะฉะนั้นราคาเมล็ดพันธุ์มันแพงเพราะมีการวิจัย มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใส่เพื่อให้ได้พันธุ์ที่ได้คุณภาพดี เกษตรกรก็ต้องจ่าย ถ้าอยากให้เกษตรกรจ่ายน้อยลงแต่ได้พันธุ์ดี ราชการก็ต้องปรับปรุงพันธุ์ ใส่งบประมาณลงไป เพื่อผลิตพันธุ์ออกมาแข่งกัน มันจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการบอกว่า พันธุ์ของเอกชนแพง แต่ในความแพงนี่มันคุ้มหรือไม่ต้องถามเกษตรกร ทำไมเขาจึงยอมซื้อ นี่คือธุรกิจ”

                ความวิตกของกลุ่มเอ็นจีโอก็คือการผูกขาดของกลุ่มธุรกิจเมล็ดพันธุ์ อันจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและวิถีชีวิตอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะแรงหมุนของโลกาภิวัตน์และการค้าเสรีที่อาจทำให้สังคมไทยเพลี่ยงพล้ำได้ในอนาคต ซึ่งประเด็นนี้ นายพาโชคมองต่างมุมว่า

                “เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการผูกขาด และการป้องกันก็ไม่ใช่การไปบล็อกเขา แต่ต้องเชิญชวนให้เข้ามาเยอะๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน พันธุ์พืชอยู่ในประเทศไทยก็ต้องเป็นของคนไทย เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลสามารถออกกฎระเบียบนำพันธุ์พืชนั้นเป็นของรัฐบาลได้ ถ้าเขาจะผูกขาดก็ต้องมีกติกาป้องกันเอาไว้ แต่สิ่งหนึ่งคือถ้าเรามีเงื่อนไขทีดี ดึงดูดให้คนมาลงทุน อย่างบริษัทเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดมีเจ็ดแปดบริษัทก็ผูกขาดไม่ได้ ความนิยมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามแต่ว่าใครทำพันธุ์ออกมาดี มันผูกขาดไม่ได้ ไม่ต้องกลัว จะผูกขาดได้ยังไงถ้ามีผู้ประกอบการหลายคน”

                เขาเสริมอีกว่า กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนต่างหากที่จะทำให้ศักยภาพของธุรกิจเมล็ดพันธุ์ไทยไม่สามารถต่อสู้กับบรรษัทต่างชาติได้ในอนาคต

                “ถ้าจะสู้ได้ก็ต้องให้ราชการทำโครงการปรับปรุงพันธุ์ให้แข็งแรง เพื่อมีพันธุ์ให้เอกชนไทยเข้ามา ตอนนี้เจ้าเดียวของไทยที่สู้ต่างชาติได้คือซีพี เจียไต๋ แต่โดยรวมจะเป็นของบรรษัทข้ามชาติมากกว่า แต่อย่าลืมว่าบรรษัทข้ามชาติเหล่านี้เข้ามาพัฒนาพันธุ์ในประเทศไทย แล้วก็ส่งไปขายในประเทศอื่น ใช้ไทยเป็นฐานในการปรับปรุงพันธุ์ เพราะประเทศไทยมีความพร้อมหลายๆ ประการ เราสามารถส่งต่อผลประโยชน์ให้เกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อส่งออกก็ได้”

                และดูเหมือนว่า ปัญหาและอุปสรรคที่ภาคธุรกิจประสบ ภาครัฐเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ

(ตอนหน้า ว่ากันถึงบทบาทของ กรมวิชาการเกษตรและความยากจนของกองทุนคุ้มครองพันธุ์พืช)

….....

คำอธิบาย:อนุสัญญายูปอฟคืออะไร?

                อนุสัญญายูปอฟหรือกฎหมายของยูปอฟ (The International Union for the Protection of New Varieties of Plants: UPOV)หรืออนุสัญญาว่าการด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ เป็นระบบที่เกิดขึ้นในยุโรปเมื่อปี ค.ศ.1961 เนื่องจากขณะนั้นฟากฝั่งยุโรปไม่ให้การยอมรับระบบสิทธิบัตรของอเมริกา เหตุผลข้อหนึ่งก็คือความวิตกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรที่ให้สิทธิผูกขาดแบบเบ็ดเสร็จแก่ผู้ทรงสิทธิ ซึ่งจะส่งผลรุนแรงต่อการเกษตรและผู้คนจำนวนมากหากพันธุ์พืชชนิดใดชนิดหนึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน

                ทว่า หลังจากนั้นอนุสัญญายูปอฟได้รับการแก้ไขทั้งสิ้น 3 ครั้ง ในปี ค.ศ.1972, 1978 และ 1991 จากที่เคยเป็นอนุสัญญาที่ยังคำนึงถึงสิทธิเกษตรกรอยู่บ้าง ดังที่ประเทศไทยได้นำหลักการของอนุสัญญายูปอฟ 1978 มาใช้ในการร่างกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช แต่การแก้ไขครั้งล่าสุด คือในปี ค.ศ.1991 อนุสัญญายูปอฟได้เพิ่มความคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่มากขึ้น ด้วยการให้สิทธิเด็ดขาดแก่นักปรับปรุงพันธุ์

.........................

(หมายเหตุ : ที่มา :  ศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนฯ (TCIJ)

http://www.tcijthai.com/)