ข่าว

กต.มองมติศาลโลกกันไทย-เขมรเผชิญหน้า

กต.มองมติศาลโลกกันไทย-เขมรเผชิญหน้า

20 ก.ค. 2554

หลังจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก มีมติให้ประเทศไทยและกัมพูชา ถอนทหารออกจากพื้นที่ขัดแย้งรอบปราสาทพระวิหาร ตามที่ประเทศกัมพูชาขอให้มีคำสั่งออกมาตรการชั่วคราว แล้วไทยจะดำเนินการอย่างไรต่อไป หน่วยงานที่รับหน้าเสื่อโดยตรงคือกระทรวงการต่างประเทศมีคำ

          นายเจษฎา กตเวทิน รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับคำสั่งนี้ว่า วัตถุประสงค์ของศาลโลกก็เพื่อสร้างบรรยากาศลดความตึงเครียด และการเผชิญหน้าระหว่างกัน จึงมีคำสั่งให้ถอนทหารของทั้ง 2 ฝ่าย

           นายเจษฎา กล่าวต่อว่า ในผลคำตัดสินของศาลโลก มีบางประเด็นที่ไม่มีการพูดถึงคือ เรื่องเกิดความเสียหายที่ไม่สามารถเยี่ยวยาได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่กัมพูชาพยายามชี้ให้ศาลโลกเห็นถึงความจำเป็นในการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร แต่การที่ศาลโลกมีคำตัดสินให้ถอนทหารของ 2 ฝ่ายออกจากพื้นที่ที่ศาลโลกกำหนดพิกัดให้เป็นเขตปลอดทหาร ทำให้เห็นว่า ศาลโลกมองว่าความเสียหายที่ไม่สามารถเยี่ยวยาได้ยังไม่เกิดขึ้น จึงควรมีมาตรการชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

 

มาตรการชั่วคราวจะใช้ถึงเมื่อไร

          นายเจษฎา : เมื่อศาลโลกมีคำตัดสินหลัก ในเรื่องที่กัมพูชาขอให้ศาลโลกตีความอาณาเขตปราสาทพระวิหารแล้ว มาตรการนี้ก็จะหมดไป หรือในระหว่างที่รอคำตัดสินหลัก มาตรการชั่วคราวนี้สามารถยืดหยุ่นตามสถานการณ์

 

ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกได้หรือไม่

          นายเจษฎา :  คำตัดสินนี้เป็นมาตรการที่ไทยและกัมพูชาต้องปฏิบัติตามทั้งคู่ การที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกที่ดีของยูเอ็นมาโดยตลอด และไม่มีประวัติเกเรมาก่อน ก็ต้องทำตามคำสั่งของศาลโลก เพราะศาลโลกเป็นองค์กรหนึ่งของยูเอ็นที่มีหน้าที่ดำรงสันติภาพและความยุติธรรมให้กับสมาชิกประเทศ

 

ประเทศไทยได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร

           นายเจษฎา: หากย้อนกลับไปดูในเรื่องที่กัมพูชาร้อง ได้แก่ ให้ฝ่ายไทยถอนกำลังทั้งหมดจากส่วนต่าง ๆ ของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทพระวิหารทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข 2) ห้ามไทยมีกิจกรรมทางทหารใด ๆ ในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และ 3) ให้ไทยงดการกระทำหรือการดำเนินการใด ๆ ที่กระทบสิทธิของกัมพูชาหรือเพิ่มความขัดแย้งในคดีการตีความ จนกว่าศาลโลกจะตีความคำพิพากษาแล้วเสร็จ

           ทั้งนี้จะเห็นว่า ศาลโลกรับฟังฝ่ายไทยอยู่มาก จึงได้ออกมาตรการชั่วคราวที่เป็นภารกิจให้ 2 ประเทศปฏิบัติร่วมกันอย่างทัดเทียม โดยเฉพาะมีคำสั่งให้กัมพูชาถอนทหารออกจากปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วสิขาคีรีสาวาระ ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของกัมพูชา

 

กระทรวงการต่างประเทศนิยามคำว่าเขตปลอดทหารเป็นอย่างไร

           นายเจษฎา : เขตปลอดทหารคือพื้นที่ที่ไม่มีกองกำลังทหารปฏิบัติการอยู่ เว้นแต่มีพลเรือนพักอาศัยอยู่ได้ ขณะที่ตำรวจตระเวณชายแดนจะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวได้หรือไม่ ก็ต้องตีความหมายกันอีกที ส่วนที่รู้กันดีว่า มีทหารกัมพูชาแฝงในกลุ่มพลเรือนอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์และเชื่อว่า ศาลโลก ยูเอ็น ประชาคมโลกก็สอดส่องในเรื่องนี้

 

เขตปลอดทหารมีพื้นที่เท่าไร

           นายเจษฎา: กล่าวว่า เขตปลอดทหารเป็นพื้นที่ภายใน 4 จุดที่ศาลโลกกำหนดไว้ให้ในเอกสารแผนที่ซึ่งไม่ใช่แผนที่ 1 ต่อสองแสน โดยแผนที่ที่ศาลโลกใช้ต้องสอบถามกับกรมแผนที่ทหารเป็นผู้ศึกษาและยืนยันขนาดเขตปลอดทหาร จากการประเมินมีขนาด 17.3 ตร.กม. ขีดคร่อมพื้นที่ค่อนไปทางกัมพูชาเสียมากด้วยซ้ำ ขอย้ำว่า ไม่ได้ส่งผลให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียดินแดน เนื่องจากคำตัดสินของโลกในวานนี้ ไม่ได้มีผลเรื่องเส้นเขตแดน หากมองในมุมของไทย จะเห็นว่า ศาลโลกใช้สันปันน้ำเป็นจุดตรงกลางและเป็นรัศมีไปยังกัมพูชาและไทยในระยะเท่าๆ กัน

          จากที่กัมพูชาร้องขอให้คุ้มครองพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.เท่านั้น แต่ศาลโลกกำหนดพื้นที่คร่อมมายังฝั่งไทยด้วย ทำให้ไทยเสียเปรียบหรือไม่

          นายเจษฎา : มองว่า เป็นการถอยออกจากพื้นที่พอๆ กัน ย้ำว่า ก็เพื่อลดความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดเหตุปะทะกัน และไม่เห็นว่าฝ่ายไทยจะเสียเปรียบ เพราะการถอนหทารออกจากพื้นที่ดังกล่าว ก็ทำทั้งสองฝ่าย แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่มีใครยึดเป็นเจ้าของ

          หากเกิดการปะทะระหว่างที่มีการเจรจากำหนดเขตปลอดทหาร จะส่งผลอย่างไร
 นายเจษฎา: เชื่อว่า ศาลโลกอาจจะมีคำสั่งให้รีบถอนทหารในพื้นที่ดังกล่าว และเร่งให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลโลกที่ให้เขตปลอดทหาร เพื่อลดความเผชิญหน้าและขัดแย้ง

 

ในการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก จะดำเนินการได้เมื่อไร

          นายเจษฎา :  เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นที่ทั้งสองฝ่าย ต้องกลับมานั่งโต๊ะเจรจาตกลงกัน ในกรอบของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) ที่จะต้องมีการประชุมเพื่อกำหนดเขตปลอดทหารดังกล่าวต่อไป โดยฝ่ายไทยเรียกร้องมาโดยตลอดให้กลับมาเจรจาในกลไกเหล่านี้ แสดงว่าศาลก็เห็นถึงความสำคัญเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ไทยละกัมพูชายังไม่ได้ตกลงเรื่องเขตปลอดทหาร ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม

 

การที่ศาลโลกมีคำตัดสินให้ออกมาตรการชั่วคราว แสดงให้เห็นว่าปฏิเสธคำร้องของไทย และเห็นว่าคดีนี้สืบเนื่องมาจากคำตัดสิน ปี 1962 หรือไม่

          นายเจษฎา : กล่าวว่า ก็เป็นสิ่งคาดการณ์อยู่แล้ว แต่การสู้คดีของไทยก็ต้องเน้นย้ำว่าศาลไม่มีอำนาจหน้านี้ตัดสินเรื่องเขตแดน เพื่อหากศาลเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งนี้ ก็ทำให้คดีนี้จบไป

 

รัฐบาลใหม่จะมีส่วนช่วยในการถอนคำร้องของกัมพูชาหรือไม่

          นายเจษฎา : แนวทางการแก้ไขปัญหาแบบถาวร คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมองเห็นประโยชน์ร่วมกันของ 2 ประเทศ ซึ่งในเรื่องนี้ ตนมองว่า ช่วงที่เปลี่ยนผ่านและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคใดๆ ต่อดำเนินการตามคำสั่งศาล เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาก็เห็นอยู่แล้วว่า รัฐบาลใหม่ของไทยคือใคร ขึ้นอยู่กับการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองมากกว่า แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความพร้อมจะดำเนินการโดยเร็ว

นันทิดา พวงทอง