ข่าว

บันทึกของตอนเช้าวันเลือกตั้ง

บันทึกของตอนเช้าวันเลือกตั้ง

05 ก.ค. 2554

ด้วยข้อจำกัดในเรื่องการตีพิมพ์ การเขียนคอลัมน์เช้านี้จะต้องเสร็จลงก่อนที่จะส่งไปตีพิมพ์ ดังนั้นผมจึงกำลังบันทึกเหตุการณ์ของการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ก่อนเที่ยง เพื่อตีพิมพ์ปรากฏออกมาในตอนวันจันทร์กรอบบ่าย หรือวันอังคารกรอบเช้าครับผม

 มาจนถึงวันนี้คงปฏิเสธได้ยากอีกครั้งครับว่าการเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และทรงพลังมากมายในสังคมประชาธิปไตย การขัดขืนกระบวนการเลือกตั้งและผลจากการเลือกตั้งนั้นเป็นภาระหนักหนาของผู้ที่ไม่เห็นค่าของกระบวนการประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง

 ภาพของคนที่แออัดยัดเยียดในการกลับบ้านไปเลือกตั้ง ภาพของคนที่อดทนไปเลือกตั้งล่วงหน้า หรือแม้กระทั่งภาพของทุกคนที่ออกเดินทางไปเลือกตั้งของทุกชนชั้นเนี่ย ช่างขัดกับภาพของการไม่แยแสไยดีของบรรดาผู้คนที่บอกว่าประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งเป็นเพียงการใช้สิทธินาทีเดียว
 เพราะการออกไปลงคะแนนเสียงของผู้คนมากมายในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าหนึ่งนาทีนั้นมีค่า เพราะเป็นหนึ่งนาทีที่เขาตัดสินกันมานาน

 ไม่ว่าจะหนึ่งนาทีที่สะสมมาจากการไม่พอใจทักษิณเมื่อห้าปีก่อน หรือหนึ่งนาทีที่มาจากการไม่พอใจการทำรัฐประหาร หนึ่งนาทีที่เชียร์พันธมิตร หนึ่งนาทีที่เชียร์เสื้อแดง หนึ่งนาทีรักทักษิณ หรือหนึ่งนาทีที่เชื่อมั่นในนายกฯ อภิสิทธิ์ หรือหนึ่งนาทีของอื่นๆ อีกมากมาย

 ดังนั้นเราจึงไม่เคยมีการเลือกตั้งหนึ่งนาที มีแต่พวกที่ไม่เห็นค่าของการเลือกตั้งต่างหากที่รู้สึกว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องของประชาธิปไตยหนึ่งนาที เพราะการเลือกตั้งทุกครั้งมีการรณรงค์และให้ความหมายกันมานาน และไม่นับส่วนที่มีการสะสมมานานถึงความต้องการแสดงสิทธิเสรีภาพเหล่านั้น

 และที่สำคัญคราวนี้ต้องชื่นชม กกต.ด้วยที่ออกสโลแกนใหม่ว่า เลือกคนที่รักเลือกพรรคที่ใช่ เพราะเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้มีความหลากหลายในการเลือกตั้งมากกว่าสโลแกนเดิม

 อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการเลือกตั้งแล้วก็คงจะอดพูดถึงขั้วตรงข้ามไม่ได้นั่นก็คือ กระแสการทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดได้ยากว่าจะมีไหม เพราะก็มีมาโดยตลอด ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะฝังหัวกับเรื่องนี้ และการต่อต้านการทำรัฐประหารบนถนนในวันทำรัฐประหารนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเต็มไปด้วยความซับซ้อนเชิงเทคนิค แต่ประเด็นที่สามารถต่อสู้และต่อต้านได้ก็คือการทำงานต่อต้านรัฐประหารอย่างต่อเนื่องในแง่ของการต่อสู้เชิงความคิดกับทุกคนที่ส่งสัญญาณการทำรัฐประหาร โดยเฉพาะกับบรรดาผู้คนที่พยายาม "เขียน" รัฐประหารขึ้นในทุกรูปแบบ

 ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำได้ทันที และทำได้ทุกวัน ทั้งในเชิงรุก และในเชิงรับ อาทิ การต่อต้านงานเขียนและบทสัมภาษณ์สนับสนุนการทำรัฐประหาร และการส่งเสริมให้เกิดการสานเสวนา และเรียนหนังสือร่วมกันของทหารกับภาคส่วนอื่นๆ ของสังคมมากขึ้น ไม่ใช่จัดการศึกษาโดยเอาทหารเป็นศูนย์กลางของความมั่นคงเหมือนที่เป็นมา

 นอกจากนั้นในครั้งนี้ความสนใจของต่างชาติจำนวนมากที่บีบให้ประเทศเรายอมรับผลการเลือกตั้งนั้นมีอยู่มาก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่ความตื่นตัวสนใจเฉพาะเรื่องการเลือกตั้ง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งรุนแรงในช่วงสองปีหลังนี้มีผลสะเทือนต่อสังคมต่างชาติมากมาย ทั้งการเสียชีวิตของนักข่าว หรือการที่พลเมืองเขาถูกจับกุมคุมขัง ซึ่งทำให้ผลประโยชน์ของต่างชาตินั้นไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่หมายถึงชีวิตและความสูญเสียของพวกเขาด้วย

 ประการต่อมาก็คือการเฝ้าระวังเส้นแบ่งที่บางมากสำหรับประชาธิปไตยเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งกับข้อกล่าวหาเผด็จการรัฐสภา เพราะแนวโน้มของการเลือกตั้งทำให้ผู้แทนไม่สนใจเสียงข้างน้อย โดยเฉพาะเสียงข้างน้อยที่มีอำนาจนอกระบอบประชาธิปไตย และจุดเปราะบางข้อนี้ทำให้เสียงข้างน้อยที่มีอำนาจไม่อยากจะอยู่ในกฎกติกาประชาธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของการคอรัปชั่น การคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้นจากการแลกเปลี่ยนคะแนนเสียง และการแก้กฎหมายให้กลุ่มพวกตัวเอง ซึ่งเป็นจุดเปราะบางมากว่าตกลงกฎหมายจะแก้ได้ทุกเรื่อง หรือจะต้องคำนึงถึงความเสมอภาคทางกฎหมายด้วย

 ประการสุดท้าย ผมคาดหวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นจุดตั้งต้นของการแสวงหาความจริงร่วมกันให้มากขึ้น เรื่องของความปรองดองและสมานฉันท์อะไรพวกนั้นควรจะเป็นเรื่องขั้นต่อไป หลังจากที่เราพบหรือพยายามจะเข้าถึงการแสวงหาความจริงเสียก่อน เราจึงมากำหนดกันว่าเมื่อเราเจอความจริงร่วมกันแล้วเราจะจัดการสิ่งเหล่านั้นร่วมกันไหม เราจะให้อภัยกันไหม เราจะอดทนกันมากน้อยได้แค่ไหน
 

เดี๋ยวผลการเลือกตั้งนั้นจะเป็นอย่างไรมาโม้กันต่อในวันพฤหัสกันอีกรอบครับผม ตอนนั้นน่าจะเห็นอะไรกันชัดๆ แล้วครับ