ข่าว

ตามหาจุดยืนของ"เผ่าทอง ทองเจือ"

ตามหาจุดยืนของ"เผ่าทอง ทองเจือ"

02 ก.ค. 2554

แวบแรกที่ได้ยินชื่อของหนุ่มใหญ่วัย 55 ปี "แพน" เผ่าทอง ทองเจือ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาพความทรงจำที่ผุดขึ้นมาในสมอง

          คือ หนุ่มร่างใหญ่มาดสุขุมใต้ชุดผ้าไหมหลากหลายสไตล์ ถือไมโครโฟนอธิบายรายละเอียด เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของไทยสมัยโบราณแบบไม่มีสะดุด ที่ใครๆ ก็ยกให้เขาเป็นมือวางอันดับต้นๆ ของประเทศในเรื่องประวัติศาสตร์ไทยนั่นล่ะ

 

           แล้วมาดแบบนี้...ใครจะนึกว่าเขาจะผันตัวมาเป็น "กระดูกสันหลังของชาติ" สลัดหมวกใบสวยในสังคมเมือง แล้วหยิบหมวกฟางของชาวนามาใส่ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน กับการปลูกข้าวบนดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ด้วยหัวใจเปี่ยมสุข เส้นทางการเป็นชาวนาของเขาเป็นมาอย่างไร เขยิบลงมาอีกบรรทัดกันเลย...

          เริ่มปลูกข้าวมาตั้งแต่เมื่อไร


           ก็ตั้งแต่ราวปี 2550-2551 ต้องเท้าความก่อนว่าผมทำห้องเสื้อเผ่าทอง ซึ่งมีโรงงานอยู่ที่ จ.ลำพูน แล้วผมก็ทำแหนมด้วย แต่คนในโรงงานผมที่เป็นชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอทำแหนมไม่เป็นเพราะวัฒนธรรมเขาไม่เคยทำ แต่มีที่ดินเป็นของตัวเองที่ดอยอินทนนท์ ช่วงนั้นผมเป็นที่ปรึกษาปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เวลาฟังท่านปลัดคุยเรื่องข้าวฟังแล้วสนใจ เลยกราบเรียนท่านปลัดว่าผมอยากปลูกข้าว ท่านเลยบอกให้ปลูก "ข้าวเล็บนกปัตตานี" สิ เพราะเป็นข้าวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสวย ผลิตได้น้อยไม่พอกับความต้องการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า ถ้าปลูกยากทางใต้ทำไมไม่นำกลับไปปลูกทางเหนือดูบ้าง ทางโครงการหลวงจึงเอาข้าวพันธุ์นี้ไปปรับปรุงพันธุ์ จนได้ชื่อใหม่ว่า "ข้าวเล็บนกปกาเกอะญอ" ซึ่งวิธีการปลูกข้าวบนดอยต้องหยอดเมล็ดข้าวเปลือกทีละหลุม ไม่มีระบบชลประทานใดๆ ทั้งสิ้น อาศัยฝนตกอย่างเดียวถ้าฝนขาดช่วงข้าวก็ตาย

ข้าวปลูกที่ไหนบ้าง

           ที่ดอยอินทนนท์ที่เดียว ส่วนมากจะปลูกบนดอยที่ถูกตัดไม้ ดอยหัวโล้นเหล่านี้ทำอะไรไม่ได้เลยนะ เก็บน้ำก็ไม่ได้เสียหายมาก เคราะห์ดีตรงที่ยังสามารถทำเกษตรได้ พอถึงฤดูที่จะปลูกข้าวชาวเขาก็จะขึ้นไปปลูกข้าวบนดอยเหล่านี้กัน

พื้นที่ที่ปลูกข้าวเป็นของ อ.เผ่าทองหรือเปล่า

           นโยบายของเราคือจะไม่กว้านซื้อที่ดิน อาจจะเป็นเพราะเราไม่มีเงินกว้านซื้อที่ด้วยก็ได้ (ยิ้ม) แต่จะชักชวนชาวเขา คือ ตอนที่เราเป็นที่ปรึกษาปลัดกระทรวงเกษตรฯ อยู่ ได้ฟังคำที่ท่านปลัดพูดเสมอว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พยายามบอกชาวไร่ชาวนาว่าอย่าขายที่ เพราะขายที่แล้วจะไม่เหลืออะไรเลย เรานึกคำนี้มาตลอดเลยไม่ซื้อที่เขา แต่จะชักชวนให้เขามาร่วมปลูกข้าว แล้วเรารับซื้อประกันราคาดี แรกๆ ชาวบ้านยังจดๆ จ้องๆ เราก็ปลูกนำให้ดู ปีแรกมีเกษตรกรเข้าร่วมกับเราไม่ถึง 10 หลังคาเรือน แต่ปีนี้มีชาวบ้านเป็น 100 ครอบครัวแล้ว

 

นาแรกที่เห็นผลรู้สึกยังไงบ้าง 

           นาแรกได้ผลเมื่อ 3 ปีแล้ว จำได้ว่านาแรกที่ทำพอข้าวตั้งท้องอวบๆ เราเดินไปเก็บเมล็ดข้าวเอามาบีบจะมีน้ำนมข้าวออกมา ดูดกินชนิดที่ไม่ต้องกลัวยาฆ่าแมลงเพราะนาเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว มันไม่ได้เยอะเท่าหัวเข็มหมุดแต่มันชื่นใจ พูดแล้วเหมือนโกหก แต่ผมลงไปนั่งพับเพียบแล้วกราบพระแม่โพสพเลยนะ กราบทั้งพระพิรุณ พระแม่ธรณี กราบทุกอย่างที่ช่วยให้ต้นกล้าเรางอกงาม กราบในหลวงด้วยเพราะถ้าเกิดไม่มีในหลวง เราก็จะไม่ได้กินข้าวเล็บนกปกาเกอะญอนี้ ความภูมิใจทุกวันนี้ยังไม่เคยหมด เพราะเราได้กลายเป็นกระดูกสันหลังของชาติไปแล้ว


ข้าวบนดอยใช้เวลานานกว่าที่ราบหรือเปล่า

           ข้าวบนดอยใช้เวลาประมาณ 4 เดือนเศษๆ จริงๆ แล้วผมขาดทุนนะ ทุกวันนี้ยังใช้เงินตัวเองในการลงทุนทุกครั้ง เหมือนผมเอาเงินตัวเองไปเล่นขาดทุน แต่เป็นความสุขของผม สนุกที่ได้คลุกคลีอยู่กับชาวเขา ไปหยอดข้าวในหลุมเอง ดูข้าวออกรวง เห็นข้าวตั้งท้อง ยิ่งตอนที่ข้าวออกดอกยื่นอยู่กลางทุ่งข้าวแล้วสูดกลิ่นดอกข้าวเข้าไปแหม...ชื่นใจที่สุด แต่ปีนี้น่าจะดีหน่อยคาดว่าปีหน้าน่าจะคืนทุนได้แล้ว


ในสวนของบ้านมีนาขนาดย่อมด้วย

           อันนี้ปลูกเล่นๆ เพิ่งจะลองเป็นครั้งแรก เป็นข้าวเล็บนกปัตตานีของใต้พันธุ์ดั้งเดิม ปลูกได้ 14 วันแล้ว รออีก 4 เดือนคงจะเก็บเกี่ยวได้ ที่ปลูกนี่เพราะอยากรู้ว่าจะเวิร์กหรือเปล่า ถ้าออกรวงมาจะเก็บเป็นแม่พันธุ์ ปีหน้าค่อยปลูกใหม่ ให้เขาได้ปรับตัวไปเรื่อยๆ ในสภาพกลางเมืองจะขึ้นได้งามแค่ไหนก็ยังไม่รู้ อาจจะสำเร็จหรืออาจจะตายหมดก็ได้


ทราบมาว่า อ.เผ่าทอง เคยเป็นโรคมะเร็งมาก่อน

           เมื่อ 16 ปีก่อนผมเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นที่ 4 หมอบอกอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน แต่เราต่อสู้จนกระทั่งหาย แต่หายในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กลับมาเป็นอีกนะในชีวิตนี้ ตั้งแต่หายจึงเริ่มระวังในเรื่องของการใช้ชีวิต โดยเฉพาะในเรื่องการกิน เลิกยึดติดในรสชาติอาหาร ไม่ได้กินอาหารแพงหรือกินอะไรวิเศษเลย

ทุกอย่างที่ทำ เกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากเป็นมะเร็ง

           หลังจากเป็นโรคมะเร็ง จริงๆ ผมอยากเขียนหนังสือ ขอบใจที่ให้ฉันได้เป็นมะเร็ง มะเร็งเนี่ยเป็นโรคที่ทุกคนหมดหวัง แต่ของผมกลายเป็นโรคที่ให้ชีวิตใหม่กับผม หลังจากเป็นมะเร็งทำให้เข้าใจสัจธรรมทุกอย่าง รู้สึกว่าชีวิตจริงไม่ต้องการอะไรมาก ที่ผ่านมาเราไปปรุงแต่งมันเยอะ เราผ่านเหตุการณ์ที่เลวที่สุดมาแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ตาย การใช้ชีวิตทุกวันนี้เป็นการใช้ชีวิตเพื่อเตรียมรับความตาย เพราะเรารู้แล้วว่าวันที่เราจะตายเราต้องเจ็บตาย เราจะได้ทำใจอยู่กับความจริง อยู่กับโรคที่เรากำลังเป็นแล้วเราจะไม่กลัวเขา ไม่ใช่ว่าผมเก่งถึงขนาดที่ว่ากล้าตาย แต่ผมรู้แล้วว่าขั้นตอนการเจ็บป่วยมันทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัว แต่ถ้าเราทำใจยอมรับจะผ่านช่วงที่เลวที่สุดไปได้อย่างดี ผมตั้งใจว่าผมจะตายอย่างดีมีสติ จะไม่ทุรนทุราย เพราะฉะนั้นเราจะละเปลือกทั้งหลายตั้งแต่ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ วันที่เราจะสละร่างไปจะได้ไม่อาวรณ์

 

          ตอนนี้มีทั้งธุรกิจของตัวเอง แล้วต้องเดินสายเป็นวิทยากร และเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต มีเวลาพักผ่อนบ้างหรือเปล่า

           พักผ่อนคือนอนหลับตอนกลางคืน 7 วันไม่เคยมีวันสาร์-อาทิตย์ ช่วงไหนไม่สบายก็หยุด พอหายจากมะเร็งมีความคิดว่าเวลาของเราสั้นลง อายุ 50 ปีขึ้น หมายถึงเริ่มนับถอยหลังแล้ว แต่จะถอยไปสุดวันไหนไม่มีใครรู้ ผมจะไม่ทอดอาลัยตายอยาก ยิ่งเวลาเหลือน้อยเท่าไรยิ่งต้องทำงานให้ได้มากขึ้นเท่านั้น คิดว่าเราเกิดมาเป็นหนี้โลก เป็นหนี้บุญคุณของประเทศไทย เป็นหนี้บุญคุณของแผ่นดิน การที่เรามีชีวิตอยู่มาถึง 50 กว่าปี เราใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกนี้ ของประเทศไทยไปเยอะมากนะ ดังนั้นเราต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน และอย่าตอบแทนด้วยปากต้องตอบแทนด้วยการกระทำ ประเทศนี้แผ่นดินนี้มีบุญคุณ พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้มีบุญคุณ เราต้องตอบแทนพระองค์ท่าน

 

ทำงานหนักขนาดนี้เพื่ออะไร

           ไม่เคยทำเพื่อตัวเองเลยนะ แต่ทำเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน บุญคุณประเทศชาติ โลก และพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าลึกๆ ในความจริงตัวเองไม่ได้ใช้เงินจากรายได้เหล่านี้เลย ทั้งหมดที่ทำในทางกฎหมายไม่ได้จดชื่อตัวเองนะ ไม่ได้จะเลี่ยงกฎหมาย แต่ตั้งใจจะให้แก่ลูกน้องที่เขาทำกับเรา เราตัวคนเดียวโสดไม่มีลูกไม่มีภาระตายเมื่อไรไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ทำเป็นชื่อของลูกน้องซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ผมมาก่อน

 

ทุกวันนี้ละหมดทุกอย่างแล้ว

           ไม่ได้ละอะไร ยังชอบของสวยงามยังซื้ออยู่ แต่เป็นคนใช้ชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ ตรงๆ ไม่ได้หวือหวาอะไร และไม่เคยคิดให้ใครมาทำตาม ทุกคนจะต้องมีวิถีชีวิตของตัวเอง จะเรียบจะหวือหวายังไงก็ได้ ไม่มีใครผิดถูก ขออย่างเดียวอย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน ทุกอย่างต้องรู้ด้วยตัวเองคนเราต้องเตือนตัวเองได้ คนที่เตือนตัวเองไม่ได้ก็จบแล้ว

 

           ...และนี่คือตัวอย่างของคนอีกหนึ่งชีวิต ที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ พร้อมยืนหยัดในการนับถอยหลังเพื่อทดแทนบุญคุณแผ่นดิน...