
ถอนตัวจากมรดกโลก:ความจริงที่ประจักษ์
การประกาศถอนตัวออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกและกรรมการมรดกโลกของไทย กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที และไม่ใช่เรื่องนอกเหนือความคาดหมายใดๆ แต่กรณีที่เกิดนี้ไม่ใช่ประเด็นร้อนบนเวทีโลกเหมือนครั้งที่สหรัฐถอนตัวจากยูเนสโกเมื่อต้นปี พ.ศ.2528
ตามด้วยอังกฤษในปีถัดมาและสิงคโปร์ก็ขอถอนตัวเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรนี้ นำไปสู่การแสวงหาแนวทางร่วมกันที่จะปรับปรุงความขัดแย้งต่างๆ จนคลี่คลายลงด้วยดี ผิดกับการขอถอนตัวของไทย ซึ่งผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโกแค่ทักท้วงพอเป็นพิธีตามธรรมเนียมปฏิบัติอันดีเท่านั้น แต่ไม่มีความพยายามที่จะขอทำความเข้าใจอย่างที่พึงจะเป็น
สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ กลับเป็นประเด็นร้อนระหว่างคนไทยด้วยกัน ในอดีตนั้น ยามบ้านเมืองเกิดศึกภายนอก คนไทยก็จะวางปัญหาขัดแย้งกันเองหันมาสามัคคีปรองดองร่วมกันรับมือกับศึกภายนอก แต่ครั้งนี้กลายเป็นว่า คนไทยต่างยิ่งแตกสามัคคีมากขึ้น และแทนที่จะพยายามเข้าใจถึงเหตุผลแท้จริงที่ทำให้ไทยต้องถอนตัวจากยูเนสโกเพื่อจะรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของประเทศ
คนไทยกลุ่มหนึ่งกลับห่วงเรื่องการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกว่าอาจจะได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ ถึงขนาดพยายามสร้างวาทกรรมว่ากำลังทำสนามการค้าเป็นสนามรบ โดยไม่มีการศึกษาให้ถ่องแท้ว่า การขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น แท้ที่จริงไม่ได้ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่นั้นแม้แต่น้อย เพราะแม้จะไม่ขึ้นทะเบียนก็ยังมีคนไปเที่ยวไม่ขาดสาย ตรงกันข้าม เมื่อขึ้นทะเบียนแล้วกลับเปิดช่องให้กลุ่มทุนใหญ่น้อยเข้าไปแสวงหาประโยชน์จนกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
เหนืออื่นใด ความขัดแย้งในหมู่คนไทยกำลังเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการล่วงล้ำอธิปไตยนอกตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น หากยังแทรกแซงการเมืองภายในด้วย
ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ที่ปรึกษาคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกของไทย และอดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก ได้สนับสนุนท่าทีของไทยครั้งนี้ โดยมองว่าแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทย และการกระทำของคณะกรรมการมรดกโลกก็เกื้อกูลกัมพูชามากเกินไป ท้ายสุดผลลบก็จะสะท้อนกลับไปที่ยูเนสโกเอง เมื่อเกียรติภูมิที่ควรให้ความเคารพถูกลดทอนลงไป
เรายืนยันว่า การถอนตัวออกจากคณะกรรมการมรดกโลกเท่ากับดึงไพ่มาอยู่ในมือของไทยอีกครั้ง แทนที่จะถูกบังคับให้ต้องเดินตามมติของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจปัญหาละเอียดอ่อนที่เกิดขึ้น และมีมาตรฐานหลายมาตรฐานในการตัดสินใจจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ในหลายพื้นที่