
ขยายปมฆ่า...5 ศพชิงทรัพย์อำพรางคดี
ความพยายามแกะรอยหาหลักฐาน เพื่อนำไปสู่ตัวฆาตกรโหดฆ่ายกครัว 5 ศพ โดยไม่มองข้ามสิ่งละอันพันละน้อย ทำให้ชุดสืบสวน กก.1 บก.ป.ประสบความสำเร็จในที่สุด
นับตั้งแต่เกิดคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญฆ่ายกครัว 5 ศพ ภายในบ้านเลขที่ 5388 ซอยโพธิ์แก้ว 3 แยก 23 ถนนนวมินทร์ซอย 11 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 เมษายนเป็นต้นมา พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. ก็ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง สั่งการให้ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.ช่วยราชการ บก.ป. พร้อมด้วยชุดสืบสวนร่วมคลี่คลายคดีนี้โดยเร่งด่วน
ในชั้นแรกตำรวจมีข้อสงสัยในหลายประเด็น โดยเฉพาะอะไรคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของคนร้าย หากเป็นแค่การชิงทรัพย์ธรรมดาเหตุใดถึงต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้
ยิ่งเมื่อตรวจสอบบ้านเกิดเหตุอย่างละเอียด พบว่าคนร้ายพยายามรื้อค้นรูปภาพตามฝาผนัง เหมือนกับมีเป้าหมายอยู่ในใจแล้วว่า มีตู้เซฟเล็กๆ ซ่อนอยู่ โดยไม่สนใจตู้เซฟใบใหญ่เลยแม้แต่น้อย
ประกอบกับซีพียูหายไป 1 ตัวและโน้ตบุ๊กอีก 3 เครื่องสูญหายไปด้วย เหตุใดโจรธรรมดาๆ ถึงได้สนใจข้อมูลที่อยู่ในซีพียูและโน้ตบุ๊ก แทนที่จะมุ่งเอาแต่ทรัพย์สินมีค่าที่นำติดตัวไปได้ง่ายๆ
ครอบครัวของ "ธนายศ ปทุมวาสนา" วัย 52 ปี ประกอบธุรกิจที่ดินจัดสรรและโรงงานเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงปล่อยเงินกู้ด้วย แต่ไม่มีญาติคนใดสามารถระบุได้ว่า มีทรัพย์สินใดสูญหายไปหลังเกิดเหตุบ้าง
การสืบสวนหาข่าวเริ่มต้นขึ้นจากทรัพย์สินที่คาดว่าสูญหายไป หนึ่งในนั้นคือโทรศัพท์มือถือ หลังเกิดเหตุไม่นานนักชุดสืบสวน สน.ลาดพร้าว ท้องที่เกิดเหตุก็พบความเคลื่อนไหวอยู่บริเวณถนนสวนผัก ย่านตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
ชุดสืบสวนขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ขอตรวจสอบว่ามือถือของผู้ตายหมายเลขนี้ใช้กับโทรศัพท์ยี่ห้ออะไรและรุ่นไหน เมื่อนำหมายเลขอีมี่มาเทียบและตรงกันแล้ว จึงถ่ายรูปโทรศัพท์เครื่องนั้นมาถ่ายเอกสารแจกจ่ายให้ชุดสืบสวนดำเนินการตามกระบวนการหาข่าว "การสืบสวนแบบโบราณ"
การสืบสวนรูปแบบนี้ใช้มานานนมและได้ผลมานักต่อนัก แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนงานสืบสวนทำให้งานง่ายเข้า แต่วิธีการนี้ก็ยังถูกนำมาใช้อยู่บ่อยๆ นั่นคือการนำภาพถ่ายโทรศัพท์มือถือเดินแห่สอบถามชาวบ้านและโรงรับจำนำละแวกสวนผัก ตลิ่งชัน บางขุนนนท์ ในเขตพื้นที่ บก.น.7
ระหว่างที่ชุดหนึ่งเดินแห่ภาพถ่าย กำลังสืบสวนอีกชุดมุ่งหน้าไปที่ อ.มหาชัย จ.สมุทรสาคร จุดที่คนร้ายนำรถของผู้ตายไปจอดทิ้งไว้ สอบถามพยานละแวกใกล้เคียงหาตำหนิรูปพรรณผู้ต้องสงสัย เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็นำเข้าที่ประชุมหารือทิศทางอีกครั้ง
ไม่นานนักสายข่าวของ พ.ต.ท.ณัฐกร ประภายนต์ รอง ผกก.1 บก.ป.ก็แจ้งเบาะแสเข้ามาว่าพบความเคลื่อนไหวของโทรศัพท์มือถือตามรูปภาพที่ให้มาอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่ง โดยคนที่นำมามีตำหนิรูปพรรณสอดคล้องกับผู้ต้องสงสัย ชุดสืบสวนจึงตรงไปที่นั่นทันที
เจ้าของแผงเช่าพระเครื่องระบุว่า ก่อนหน้านี้มีคนชื่อ "จ่าแดง" สังกัด กก.สส.น.7 นำโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้มาขายให้บอกว่า ร้อนเงิน
ชุดสืบสวนประสานไปยัง กก.สส.น.7 ถามหา "จ่าแดง" แต่ไม่ปรากฏตัวตน สอบถามไปมาจึงได้ความว่าเป็นนักเลงหัวไม้ ชอบอ้างตัวเป็นตำรวจ และพกปืนติดตัวตลอดเวลา ขณะนี้อยู่าระหว่างจับตาดูว่าพัวพันกับคดีใดบ้าง
พยานยังระบุด้วยว่าวันที่จ่าแดงนำโทรศัพท์มาขายนั้น เขามากับ "ไอ้กี" ตำรวจจึงค้นหาชื่อ-นามสกุลจริง จนได้ความว่า จ่าแดง คือ วันชัย อ้นปัสน์ ส่วนไอ้กี คือ ปริทรรศ นุ่มน้อย หลังจากนั้นจึงไปเชิญตัวมาสอบปากคำ โดยมีญาติของจ่าแดงตามมาสอบถามข้อเท็จจริงอยู่หน้าห้องสอบสวน
จ่าแดงนอกจากจะไม่ยอมรับแล้ว ยังอ้างว่าถูกตำรวจซ้อมให้รับสารภาพ ทั้งที่มีญาติรออยู่หน้าห้องสอบสวนตลอดเวลา ?
ด้านไอ้กีมีพยานเห็นขับรถไปจอดทิ้งที่มหาชัย สุดท้ายจึงยอมจำนนให้การรับสารภาพและซัดทอดไปถึงจ่าแดงในฐานะคนพาไป
"จ่าแดงบอกว่าไม่มีอะไร จะไปปล้นเล็กๆ น้อยๆ"
จ่าแดงกับกีรู้จักกันครั้งแรกเมื่อปี 2522 ขณะติดคุกอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อพ้นโทษออกมาก็หายหน้าไป มาเจอกันอีกครั้งโดยบังเอิญในสนามม้า ตั้งแต่นั้นมาก็ไปไหนไปกัน มาเช่าแท็กซี่ขับด้วยกันที่อู่บางไผ่ ย่านเพชรเกษม
กี เล่าว่า จ่าแดงชอบพกปืนตลอดเวลา เคยเป็นนักเลงในยุคโหงว 5 พลัง เจ้าพ่อชื่อดังก่อนยุค 2500 เมื่อโหงว 5 พลังตาย จ่าแดงไปยิงตำรวจเลยติดคุก 10 ปี พอพ้นโทษออกมาก็ไปสนิทกับซุ้มมือปืนของนักการเมืองชื่อดังเมืองนนทบุรีและบางบัวทอง
เมื่อตำรวจไปตรวจสอบข้อมูล ก็พบว่าเป็นเรื่องจริง แต่ประวัติอาชญากรถูกลบทิ้งไป เหมือนไม่เคยมีคดีติดตัวมาก่อน สันนิษฐานว่ายุคนั้นยังไม่มีระบบ Polis อาจมีข้อมูลตกหล่นไป แต่เมื่อตรวจสอบไปยังเรือนจำก็พบว่าจ่าแดงเคยติดคุกอยู่จริง
แม้ในชั้นนี้จะจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว 1 คนปฏิเสธ 1 คนรับสารภาพ แต่ตำรวจเชื่อว่าคดีนี้ต้องมีเรื่องลึกๆ รอคลี่คลายอยู่อีก หนึ่งคือทำไมคนร้ายถึงได้นั่งแท็กซี่ไปลงหน้าบ้านเหยื่อ สองคือ "สำรอง บัวแก้ว" คนรับใช้วัย 47 ปี หนึ่งในเหยื่อสังหารถึงยอมเปิดประตูให้จ่าแดงเข้าไป ทั้งที่แค่บอกว่า "มาหาเฮีย" เท่านั้น จุดนี้ตำรวจตั้งข้อสังเกตว่าจ่าแดงน่าจะเคยไปที่บ้านกับใครคนใดคนหนึ่ง แล้วคนรับใช้จำหน้าได้เลยเปิดประตูให้เข้าไป มีการรื้อค้นตู้เซฟตามฝาผนังที่ซ่อนไว้หลังรูปภาพ
สุดท้ายต้องการข้อมูลอะไรในซีพียูและโน้ตบุ๊ก หากว่าเป็นแค่โจรกระจอก ทำไมถึงสนใจทรัพย์สินมูลค่าน้อยชนิดนี้ !?!