
เมาแล้วขับถูกขัง10วัน-สุดท้ายตายคาเรือนจำ
หนุ่มวัย 31 ถูกจับข้อหาเมาแล้วขับ ตำรวจส่งฟ้องศาลตัดสินจำคุก 10 วันแทนค่าปรับ ผ่านไป 5 วันกลายเป็นศพ ญาติเชื่อมีเงื่อนงำศพมีร่องรอยถูกทำร้าย จี้ให้เร่งตรวจสอบ ผบ.เรือนจำสมุทรปราการระบุสอบผู้ต้องขัง 40-50 คน ไม่พบมีการทำร้ายกัน ยันหากมีหลักฐานไม่ปกป้องคนผิ
เหตุการณ์ญาติร้องหนุ่มเมาแล้วขับถูกขัง 10 วันแต่สุดท้ายตายคาเรือนจำ เปิดเผยเมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 21 เมษายน นางวันนา ถนอมภักดี อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 263/1 หมู่ 11 ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี นำเอกสารบันทึกปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองด่าน สมุทรปราการ เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อผู้สื่อข่าว กรณีการเสียชีวิตของนายวิชัย คงสมบัติ อายุ 31 ปี บุตรชาย ซึ่งเสียชีวิตขณะถูกจองจำอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ ในข้อหาขับรถขณะเมาสุรา โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ จับกุมเมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งมีการตรวจวัดแอลกอฮอล์แล้วพบว่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
ต่อมาวันที่ 16 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองด่าน ได้ส่งฟ้องศาลแขวงสมุทรปราการ ศาลแขวงได้พิพากษาว่า นายวิชัยมีความผิดจริงตามหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นฟ้องต่อศาล ตามเลขคดีดำที่ 2594/2552 คดีแดงที่ 2533/2552 ลงวันที่ 16 เมษายน 2552 พิพากษาให้จำคุกเพื่อทดแทนค่าปรับเป็นระยะเวลา 10 วัน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งตัวนายวิชัย มาควบคุมที่เรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ
จนกระทั่งวันที่ 20 เมษายน เวลาประมาณ 10.30 น. นางสมศรี แตงสาขลา อายุ 23 ปี ภรรยาของนายวิชัย โทรศัพท์มาแจ้งว่า นายวิชัยเสียชีวิตแล้ว โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางสมุทรปราการระบุว่าบุตรชายเกิดอยากสุรา และอาละวาด จากนั้นเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงรีบเดินทางไปดูก็พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เคลื่อนย้ายศพออกมานอกเรือนจำก่อนแล้ว
นางวันนากล่าวอีกว่า เมื่อเห็นสภาพศพของลูกชาย พบว่าบริเวณเบ้าตาซ้ายเขียวช้ำ มีบาดแผลถลอกที่เหนือคิ้วซ้าย ตามลำตัวมีร่องรอยถูกทำร้ายจนเขียวช้ำเป็นจุด ๆ จึงไม่เชื่อว่าลูกชายจะเกิดอยากสุรา และอาละวาดจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตเอง จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.ชาติฏกาญ ทุมนัต พนักงานสอบสวน (สบ 3) สภ.คลองด่าน ทั้งนี้หลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบภายในเรือนจำที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยอัยการจังหวัดสมุทรปราการ แล้วได้ส่งศพลูกชายไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลตำรวจ หรือสถาบันนิติเวช
ด้านนางสมศรีกล่าวว่า ทำงานเป็นแคดดี้อยู่ที่สนามกอล์ฟ เกียรติธานี ส่วนนายวิชัย ผู้เป็นสามีทำงานอยู่ที่บริษัท ศรีพัฒนกิจ เป็นคนงานขับรถแม็คโคร ก่อนเกิดเหตุนายวิชัยเกิดมีปากเสียงกับตนแล้วขับรถออกไปนั่งดื่มสุรากับเพื่อนที่นอกบ้าน มาทราบเรื่องอีกทีตอนที่สามีโทรศัพท์มาบอกว่าถูกจับกุมอยู่ที่ด่านตรวจ สภ.คลองด่าน ในข้อหาเมาสุราขณะขับรถ จึงเดินทางไปดูสามีเพื่อจะขอประกันตัว แต่เงินไม่พอ จึงปล่อยให้สามีถูกควบคุมตัวอยู่ที่โรงพัก สภ.คลองด่าน 1 คืน วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวส่งฟ้องที่ศาลแขวงสมุทรปราการ ซึ่งศาลพิพากษาและสั่งให้จำคุกเป็นระยะเวลา 10 วัน และส่งตัวมาควบคุมที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ กระทั่งสามีเสียชีวิตในที่สุด
"เมื่อมาดูสภาพศพของสามีแล้วมีบาดแผลเขียวช้ำหลายแห่ง จึงไม่เชื่อว่าจะเสียชีวิตเนื่องจากการคลุ้มคลั่งเพราะอยากเหล้า ปกติสามีชอบดื่มสุราทุกวันก็จริง แต่ระยะหลังดื่มน้อยลงและไม่เคยมีอาการคลุ้มคลั่งแต่อย่างไร มีแต่เพียงชอบนอนละเมอลุกขึ้นมาเดินเท่านั้น จึงเชื่อว่าการเสียชีวิตของสามีน่าจะมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน" นางสมศรีกล่าว
ขณะที่ พ.ต.ท.ชาติฏกาญ ทุมนัต สารวัตรเวรเจ้าของคดี กล่าวว่า วันเกิดเหตุได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ ว่ามีนักโทษเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วยอัยการจังหวัด ปลัดอำเภอบางบ่อ แพทย์จากโรงพยาบาลบางบ่อ ร่วมตรวจสอบ พบศพนายวิชัย นอนหงายอยู่บริเวณที่คุมขังในสภาพไม่สวมเสื้อ สวมกางเกงนักโทษสีน้ำตาล มีบาดแผลที่เบ้าตาซ้ายเขียวคล้ำ เหนือคิ้วซ้ายมีแผลถลอก โดยแพทย์โรงพยาบาลบางบ่อที่ร่วมตรวจสอบ ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตได้ จึงมอบศพให้มูลนิธินำส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวชวิทยา อย่างไรก็ตามได้รับแจ้งเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่เรือนจำว่าผู้ตายเกิดอาการคุล้มคลั่งเพราะอยากสุรา และเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดต้องรอผลชันสูตรของสถาบันนิติเวช
ด้านนายปฏิคม วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรปราการ กล่าวว่า หลังทราบเรื่องได้ประสานผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบในทันที ประกอบด้วย อัยการจังหวัด ปลัดอำเภอบางบ่อ แพทย์ชันสูตรจากโรงพยาบาลบางบ่อ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองด่าน จากการสอบถามผู้ต้องขัง 40-50 คน ก็พบว่าไม่มีการทำร้ายกัน ส่วนบาดแผลและรอยช้ำที่พบ ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
"สาเหตุการเสียชีวิตต้องรอผลการชันสูตรของสถาบันนิติเวช และว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม ดูตามพยานหลักฐานว่าบาดแผลเป็นอย่างไร มีการทะเลาะกันมาก่อนและมาตายทีหลังหรือไม่ หากมีหลักฐานหรือชี้ชัดว่าเจ้าหน้าที่ผิดก็ดำเนินการได้เต็มที่เลย ยืนยันว่าจะไม่มีการปกป้องคนผิดอย่างแน่นอน" นายปฏิคมกล่าว