
ถนน"รังสิต-นครนายก"เส้นทางสายปั้นเศรษฐีรายย่อย
จากทางหลวงหมายเลข 305 มุ่งหน้าเข้าสู่ถนนรังสิต-นครนายก ช่วงคลอง 15 ต.บางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก รวมระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร ตลอดสองฝั่งถนน บนเนื้อที่กว่า 900 ไร่ เป็นแหล่งที่มีเกษตรกรประกอบอาชีพเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับจำหน่ายกว่า 800 ราย
ความหนาแน่นของการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ทำให้พื้นที่แถบนี้ได้รับการยกระดับให้เป็น "หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย" และได้รับคัดเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้บรรจุอยู่ในเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของ จ.นครนายก
ความเป็นมาของ "หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับคลอง 15" เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2525 เมื่อชาวบ้านแถบคลอง 15 ซึ่งเดิมยึดอาชีพการทำนา ต้องเผชิญกับปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ บางรายจำเป็นต้องขายที่ดินทำกินและย้ายถิ่นฐาน ขณะที่บางครอบครัวยุติการทำนาและหาอาชีพเสริม โดยขณะนั้นชาวบ้านนิยมเพาะชำต้นสนปฏิพัทธ์จำหน่าย สำหรับนำไปใช้ทำเสาเข็มเพื่อการก่อสร้าง
ขณะเดียวกันเมื่อไม้ดอกไม้ประดับ เป็นที่นิยมของตลาด จึงมีผู้ริเริ่มเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับออกจำหน่ายเป็นรายแรก คือ บุ๋น แซ่โค้ว ชาว ต.คลองใหญ่ อ.องครักษ์ จ.นครนายก โดยเริ่มจากการเพาะพันธุ์ต้นเข็ม และขยายไปสู่พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับประเภทอื่นๆ เช่น เฟื่องฟ้า ชบา ไทรทอง และเป็นการปรับเปลี่ยนฐานะ จากการเป็นผู้ผลิต ไปสู่การว่าจ้างชาวบ้านในละแวกนั้น กรอกถุงเพาะชำพันธุ์ไม้ ยกระดับฐานะของตัวเอง
ด้วยความสำเร็จของผู้บุกเบิก ทำให้ ผาด หน่องพงษ์ ภูมิลำเนา คลอง 15 ต.บางปลากด เริ่มเห็นความสำคัญและหันมายึดอาชีพเดียวกันนี้ หลังจากสืบทอดอาชีพทำนามาจากครอบครัว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แม้ว่าช่วงรอยต่อเดียวกันนั้น จะหาอาชีพเสริมมาชดเชยรายได้ เช่น การทำดอกไม้ประดิษฐ์ การเพาะเห็ด หรือการทำหญ้าคาเพื่อใช้มุงหลังคา แต่รายได้เหล่านี้ก็ไม่เพียงพอสำหรับครอบครัว จนที่สุด ผาด หันมารับจ้างกรอกถุงเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ โดยได้ค่าแรงในขณะนั้นวันละ 80 บาท
ความแตกต่างในแง่ของรายได้ที่นายจ้างได้รับวันละ 2,000 บาท จากการขายผลผลิตในแต่ละวัน ทำให้ "ผาด" หันมาเพาะพันธุ์ไม้จำหน่าย เริ่มต้นโดยการขออนุญาตตัดกิ่งไม้จากสถานที่ราชการนำมาเพาะชำ ความได้เปรียบจากการมีพื้นที่เป็นของตัวเอง ทำให้ ผาด นำมาใช้เป็นสถานที่เพาะชำพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ การเติบโตในด้านรายได้ที่ได้รับจากอาชีพนี้ เธอจึงชักชวนสามี คือ เวียน หน่องพงษ์ ซึ่งขณะนั้นประกอบอาชีพช่างไม้ ให้หันมาร่วมกันเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับจำหน่าย
สภาพทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ใน จ.นครนายก ทั้งคุณภาพดิน แหล่งน้ำที่เอื้อผ่านระบบชลประทาน ทำให้ “สวนป้าผาด” สามารถเพาะพันธุ์ไม้ได้สวยงาม และมีคุณภาพ ประกอบกับความสะดวกในด้านการคมนาคมทำให้มีเครือข่ายลูกค้าประจำทั้งชาวไทยและต่างชาติ สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้แก่ครอบครัว ยาวนานกว่า 20 ปี ปัจจุบันอาชีพเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับเป็นอาชีพของครอบครัว "หน่องพงษ์"
ผู้ประกอบการรายนี้ มีที่ดินในรูปของแปลงเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับรวมกว่า 20 ไร่ ภายใต้ชื่อ “สวนป้าผาด 1 และ 2” มีพันธุ์ไม้กว่า 1,000 ชนิด ราคาขายพันธุ์ไม้เริ่มตั้งแต่ต้นละ 60 สตางค์ ไปจนถึงหลักแสนบาท
"นอกจากสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้แก่พื้นที่แล้ว ความอดทนและใส่ใจกับพืชพันธุ์ที่เราปลูก มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเราใส่ใจดูแลพร้อมที่จะเรียนรู้ สามารถรักษาไว้ให้เป็นทรัพย์สมบัติที่งอกเงยได้ ที่สำคัญจะไม่มีคำว่าจนอย่างแน่นอน จะเห็นว่าคนในพื้นที่แถบนี้ทุกราย ต่างมีฐานะดีขึ้น บางคนส่งเสียให้ลูกเรียนจบปริญญาตรี แต่สุดท้ายลูกก็กลับมาดูแลธุรกิจนี้ เพราะเห็นถึงรายได้ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะไปทำงานตามที่เรียนมา"
ปัจจุบัน ผาด ในวัย 70 ปี ยังทำหน้าที่เป็นวิทยากรที่ศูนย์สาธิตการตลาดหมู่ 11 ซึ่งเป็นที่ตั้งของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร สันติธรรมสามัคคี ที่แห่งนี้เป็นแหล่งความรู้และศึกษาดูงานเกี่ยวกับการเพาะชำพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด ให้แก่หน่วยงานและบุคคลที่สนใจ
นอกจากผาด ที่ประสบความสำเร็จแล้ว เสนอ หน่องพงษ์ อายุ 46 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 9 ต. บางปลากด อ.องครักษ์ และ ช่วง หน่องพงษ์ อายุ 44 ปี สามีภรรยา ก็เดินตามความสำเร็จนี้ 16 ปีก่อน เสนอ ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง ส่วน ช่วง ค้าขายผลไม้ จนกระทั่งปี พ.ศ.2536 ทั้งคู่หันมาประกอบอาชีพชาวสวนไม้ดอกไม้ประดับ ตามคำชักชวนของเพื่อนบ้าน โดยอาศัยพื้นที่เพาะชำพันธุ์ไม้เพียง 100 ตารางวา
"ระยะแรกที่เข้ามาสู่อาชีพนี้ ไม่มีความรู้ในเรื่องการเพาะชำพันธุ์ไม้ดอก ไม้ประดับเลย ต้องอาศัยความตั้งใจ และการเลือกเพาะพันธุ์ไม้ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดขณะนั้น" เสนอ บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้น ปัจจุบัน เสนอ คือ เจ้าของแปลง “สวนเสนอพันธุ์ไม้” ซึ่งมีพื้นที่กว่า 20 ไร่ "แต่ละสวนจะมีเอกลักษณ์และมีความถนัดในการเพาะชำพันธุ์ไม้แตกต่างกันไป ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อพันธุ์ไม้ได้ตามใจชอบ จึงไม่เกิดปัญหาแย่งลูกค้าและหมดปัญหาการขายตัดราคาระหว่างกัน"
ช่วง หน่องพงษ์ เล่าว่า ในอดีตสังคมของชาวบ้านละแวกคลอง 15 จะมีเพียงผู้สูงอายุ ขณะที่คนวัยทำงานเดินทางไปศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพในต่างถิ่น แต่ปัจจุบัน คนเหล่านี้กลับมาบ้านเกิด เพื่อประกอบอาชีพเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเห็นถึงผลตอบแทนที่ดีกว่าการทำงานประจำ สามารถยึดเป็นอาชีพได้อย่างยั่งยืน
"ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ครอบครัวใดมีรถจักรยานยนต์ถือว่ามีฐานะ แต่ในปัจจุบันชาวบ้านแถบนี้ มีรถยนต์ รถกระบะไว้ใช้งานไม่ต่ำกว่า 2 คัน มีการว่าจ้างแรงงานตั้งแต่ 5 คน ไปจนถึง 20 คน ต่อแปลง อาชีพเพาะชำพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ สร้างโอกาสให้คนที่นี่มีฐานะระดับเศรษฐีรายย่อยก็ไม่ผิดนัก" ช่วงกล่าว
"การประกอบอาชีพเพาะพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับในขณะนี้แพร่หลายไปแทบทุกตำบลของ อ.องครักษ์ มองในด้านการตลาดถือว่าผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ แผนการส่งเสริมขั้นต่อไปจึงแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การส่งเสริมการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการสนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายใหม่จากตำบลใกล้เคียง เพื่อการเป็นแหล่งผลิตและรองรับการศึกษาดูงานอย่างครบวงจร" ทินกร ชูเกียรติศิริ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรอำเภอองครักษ์ จ.นครนายก ให้ข้อมูล
ความสวยงามของพันธุ์ไม้ ที่ขึ้นเรียงรายบนถนนสายนี้ ไม่ต่างกับการงอกเงยของรายได้ที่ผู้ยึดเป็นอาชีพได้รับหล่อเลี้ยงครอบครัว เป็นการยกระดับความเป็นอยู่ได้อย่างน่าภูมิใจ
มัทนา ลัดดาสิริพร