
"น้องธันย์"ฝึกกายภาพบำบัดเตรียมใส่ขาเทียม
"น้องธันย์" เข้ารับการฝึกกายภาพบำบัดที่ศูนย์สิรินธรฯ เตรียมใส่ขาเทียมพระราชทานจาก "สมเด็จพระเทพฯ" ผอ.ศูนย์เผย ใช้เวลา 6 สัปดาห์ ด้านเจ้าตัวเผยพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระเทพฯ ช่วยให้ใจเข้มแข็ง ถือคติคิดบวก สร้างกำลังใจให้ชีวิต ด้านพ่อตั้งทนายฟ้องเรียกค่าเสี
จากกรณีที่ ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ อายุ 14 ปี หรือน้องธันย์ นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.ตรัง ซึ่งเดินทางไปเรียนภาษาอังกฤษในช่วงปิดภาคเรียน ที่ประเทศสิงคโปร์ และประสบอุบัติเหตุรถไฟฟ้าทับขาขาดทั้งสองข้าง เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา กระทั่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมมอบให้ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ช่วยเหลือ โดยเฉพาะในเรื่องขาเทียมผ่านโครงการขาเทียมของศูนย์สิรินธรฯ ซึ่งน้องธันย์ได้เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน และเข้าพักรักษาตัวที่ศูนย์สิรินธรฯ ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 มิถุนายน น้องธันย์ได้เข้าฝึกทำกายภาพบำบัด ที่ตึกกายภาพบำบัด ศูนย์สิรินธรฯ ด้วยการฝึกยกดัมเบล โดยมีนายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ ผู้เป็นบิดา คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้กรมการแพทย์ดูแลและฟื้นฟู รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์ขาเทียมชนิดที่ดีที่สุดให้แก่น้องธันย์ ซึ่งกรมการแพทย์ได้จัดซื้ออุปกรณ์ขาเทียมที่ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า "ซีเลก" ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สั่งการด้วยไมโครชิพ สามารถควบคุมความเร็วในการเดิน ทำให้การเดินดูเป็นธรรมชาติ และคล่องตัวมากขึ้น โดยสั่งซื้อมาจากประเทศเยอรมนี ราคาข้างละ 1.2 ล้านบาท รวม 2 ข้าง 2.4 ล้านบาท มีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี
พญ.ดารณี สุวพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์สิรินธรฯ กล่าวว่า น้องธันย์จะต้องเข้ารับการฟื้นฟูร่างกาย การทำกายภาพบำบัด และการฝึกใช้ขาเทียมเป็นเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ โดยช่วง 2 สัปดาห์แรก จะเป็นการเตรียมความพร้อมของร่างกาย ฝึกกล้ามเนื้อขา โดยเฉพาะข้อสะโพก และทดลองใช้ขาเทียมที่จัดขึ้นชั่วคราวก่อน หลังจากนั้นในช่วง 4 สัปดาห์ที่เหลือจะเป็นการฝึกใช้ขาเทียมจริง
"น้องธันย์มีกำลังใจดีมาก ฝึกง่าย และยอมรับที่จะสวมใส่ขาเทียม ขณะที่บางคนหากประสบเหตุการณ์เช่นนี้มักจะท้อแท้ ซึมเศร้าไปนานอย่างน้อย 2-3 เดือนทีเดียว" พย.ดารณีกล่าว
ด.ญ.ณิชชารีย์กล่าวว่า ตั้งแต่ตนเดินทางกลับมาประเทศไทยก็ได้รับกำลังใจทั้งจากครอบครัว เพื่อน ญาติ แพทย์ พยาบาล และบรรดาเจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นอย่างดี หลายคนทยอยมาเยี่ยมดูอาการเรื่อยๆ จึงทำให้มีกำลังใจขึ้นมาก เวลาว่างก็พยายามฝึกทำกายภาพบำบัดด้วยตนเอง ตามคำแนะนำของแพทย์ ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้สู้มาโดยตลอด คือพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทรงระลึกถึงอยู่เสมอและตั้งใจไว้ว่าจะต้องหายในเร็ววันเพื่อจะได้ตั้งใจเรียนหนังสือต่อไป และเป็นจิตแพทย์อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เวลาว่างก็อ่านหนังสือเป็นประจำ พยายามคิดบวกให้ตนเองมีกำลังใจเสมอ และยิ้มแย้มแจ่มใสกับคนรอบข้าง ซึ่งคิดว่าหากทำได้คนรอบกายก็จะสบายใจ และสัญญากับตัวเองไว้ว่า หากวันหนึ่งได้เป็นจิตแพทย์ก็จะส่งเสริมให้ผู้ป่วยคิดบวกเช่นกัน
ด้านนายกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ ผู้เป็นบิดา กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ ตนสอนลูกอยู่เสมอว่า อวัยวะทุกส่วนมีความสำคัญหมด แต่ขา หากเกิดต้องสูญเสียไป จะเป็นอวัยวะที่หามาทดแทนได้ง่ายที่สุด เพื่อเป็นการให้กำลังใจลูก เพราะเรื่องกำลังใจสำคัญที่สุด เนื่องจากแม้จะได้อุปกรณ์ที่ดีเพียงใด ถ้ากำลังใจไม่ดีก็ไม่เกิดผล และขณะนี้ถือว่า น้องธันย์มีกำลังใจที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นมาทางบริษัท SMRT ซึ่งดูแลรถไฟฟ้าของประเทศสิงคโปร์ ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบเท่าที่ควร ทั้งที่น้องธันย์ก็ยืนยันแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เพราะโดนเบียด ไม่ได้เป็นลม แต่บริษัท SMRT แสดงความรับผิดชอบโดยออกเงินค่าช่วยเหลือการรักษาพยาบาลแค่ช่วงแรกเป็นเงิน 5,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทยราวแสนกว่าบาท ส่วนค่ารักษาพยาบาลที่เหลือตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ต้องออกเองทั้งหมด รวมแล้วมากกว่า 1 ล้านบาท
"ทางสโมสรโรตารี่ จ.ตรัง ที่ผมเป็นสมาชิก ได้ประสานไปยังสโมสรโรตารี่ของสิงคโปร์ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเห็นว่า ควรตั้งทนายความขึ้นมาสู้คดี เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจาก SMRT ซึ่งขณะนี้ได้ตั้งทนายความชาวสิงคโปร์ขึ้นมาสู้คดีนี้แล้ว เพื่อขอความเป็นธรรมจากศาลสิงคโปร์ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้องธันย์โดนเบียดจนตกลงไป ซึ่งความจริงแล้วในบริเวณดังกล่าวควรที่จะมีการสร้างรั้วกั้น เพราะจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า เคยมีผู้เกิดเหตุตกรางรถไฟฟ้าในสิงคโปร์แล้ว 24 ราย และเสียชีวิตหมดทุกราย แต่ทาง SMRT ก็ยังไม่มีการสร้างรั้วกั้น จึงต้องการฟ้องร้องขอความเป็นธรรมจากศาลสิงคโปร์ และเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แก่รถไฟฟ้าในประเทศต่างๆ ด้วย ผมสงสัยมากว่า ทำไมสร้างรถไฟฟ้าราคาหลายล้านบาทได้ แต่การสร้างรั้วกั้นตรงจุดรอขึ้นรถไฟฟ้าทำไมสร้างไม่ได้" นายกิตติ์ธเนศกล่าว