เที่ยวติดโปร : เยือนแผ่นดินอีสาน แหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชน

"ณิษา" และ "อาโป" ชวนกันเก็บกระเป๋า ไปเยือนอีสาน สัมผัสเสน่ห์ริมแม่น้ำโขง ที่ จ.นครพนม 

 

เริ่มต้นทริปยามเช้า ด้วยการไหว้พระเสริมสิริมงคล ที่พระธาตุพนมวรมหาวิหาร สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนอีสาน คู่เมืองนครพนม ซึ่งภายในองค์พระธาตุบรรจุพระอุรังคธาตุหรือกระดูกส่วนหน้าอกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ส่วนบนยอดพระธาตุ เป็นฉัตรทองคำแท้น้ำหนักถึง 110 กิโลกรัม
 

นอกจากเป็นพระธาตุสำคัญที่รวมศรัทธาของผู้คนสองฝั่งแม่น้ำโขงแล้ว พระธาตุพนมยังเป็นพระธาตุประจำวันของคนที่เกิดวันอาทิตย์ และคนที่เกิดปีวอก ซึ่งเป็นปีเกิดของทั้งสองสาวพอดี เลยได้ใช้โอกาสนี้ชื่นชมความสง่างามและนมัสการองค์พระธาตุเสริมบุญบารมีกันชุดใหญ่ 

อิ่มบุญแล้ว แวะเยี่ยมชมบรรยากาศริมโขง แวะถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง "หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์" ที่ถือเป็นอีกสัญลักษณ์นึงของเมืองนครพนม ซึ่งเป็นอนุสรณ์ระลึกและขอบคุณไมตรีจิตของชาวนครพนม ที่เคยเอื้อเฟื้อแก่ชาวเวียดนามที่อพยพลี้ภัยสงคราม เข้ามาอยู่ที่นี่หลายต่อหลายครั้ง 

จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่เรารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายวัฒนธรรมเวียดนามที่ผสมกลมกลืนอยู่ในวิถีความเป็นอยู่ของชาวนครพนม โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ซึ่งมื้อเที่ยงของเราที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อต้นโพธิ์ ก็เป็นเมนูก๋วยเตี๋ยวที่ได้รับอิทธิพลมาเช่นกัน เพราะก๋วยเตี๋ยวเนื้อของที่นี่ จัดเต็มด้วยผักสด สไตล์เดียวกับเฝอของเวียดนาม แถมยังมีกะปิ พริกจี่ และซอสพริกมาให้ทานคู่กับก๋วยเตี๋ยว ได้รสชาติอร่อยไปอีกแบบ
 

กิจกรรมนึงที่เหมาะกับการเที่ยวรอบตัวเมืองนครพนม ก็คือ การเช่าจักรยานปั่นเที่ยวชมเมือง และบรรยากาศริมโขง ราคาค่าเช่าก็อยู่ที่ชั่วโมงละ 30 บาท หรือจะเช่าแบบเหมาทั้งวันก็ได้ แค่ 150 บาทเท่านั้น ใครปั่นเพลินๆ เกิน 5 ชั่วโมงก็คุ้มละ

สองสาวเลือกปั่นจักรยานดูบรรยากาศริมโขง และเที่ยวดูแลนด์มาร์กสำคัญๆ อย่าง พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการ (หลังเก่า) และวิหารนักบุญอันนา หนองแสง ซึ่งมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น 

 

 

และอีกหนึ่งจุดหมายที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ "ลานพญาศรีสัตตนาคราช" ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พญานาคตามความเชื่อที่ว่า พญาศรีสัตตนาคราช เป็นตระกูลพญานาคที่สืบสายพันธุ์มาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล หล่อขึ้นด้วยทองเหลืองน้ำหนักกว่า 9,000 กิโลกรัม กว้างประมาณ 6 เมตร ความสูงรวมฐานก็ประมาณ 16 เมตร ถือเป็นองค์พญานาคทองเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน เรียกได้ว่า เป็นแลนด์มาร์คแห่งความศรัทธาของชาวนครพนมอีกแห่งนึง

นอกจากตั้งใจมาชมความสวยงามของเมืองนครพนมแล้ว สองสาวยังมีอีกเป้าหมาย คือการไปเที่ยวชม ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ตำบลพิมาน อ.นาแก จ.นครพนม ซึ่งเป็นหนึ่งชุมชนที่เข้าร่วมโครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม ของ กลุ่ม ปตท. ที่ได้สนับสนุนองค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี ช่องทางการประชาสัมพันธ์ และความเชี่ยวชาญ กลุ่ม ปตท. เข้ามาประยุกต์กับจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

เมื่อไปถึงศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ตำบลพิมาน เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ก็ได้เตรียมขนมชั้น ขนมหัวหงอก และน้ำอัญชันมะนาว จากฝีมือของกลุ่มแม่บ้านในชุมชนไว้ต้อนรับ ซึ่งทาง ปตท. ได้เข้ามาแนะนำ ปรับหน้าตาและการนำเสนอให้ดูน่าทานมากขึ้น เป็นหนึ่งใน 3 แนวทางหลักของโครงการ นั่นคือ การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community Based Tourism), Smart Marketing และ Smart Farming 

กิจกรรมแรกของสองสาว ก็คือ ไปทำความรู้จักกับน้ำมันบนดิน ซึ่งน้ำมันที่ว่า ก็มาจาก "ต้นยางนา" พืชท้องถิ่นที่มีอยู่แล้วในชุมชน ในอดีตถูกนำมาใช้ทำขี้ไต้จุดไฟ หรือไม่ก็ใช้ยาเรือ อุดรอยรั่ว ด้วยการฟันลำต้นให้เป็นโพรง แล้วจุดไฟเผา เมื่อไฟดับลงก็ตักเอาน้ำมันยางนาที่ไหลรวมกันออกมา

 

 

 

แต่ที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตำบลพิมาน ถือเป็นชุมชนต้นแบบในการใช้พลังงานทดแทน โดยได้มีการศึกษาวิจัย นำน้ำมันยางนามาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล ด้วยการเจาะน้ำมันยางนามาใช้เติมรถไถการเกษตร โดยไม่ต้องเผาหรือทำลายต้น 

ต้นยางนาไม่ได้เป็นแค่แหล่งพลังงาน แต่ยังเป็นแหล่งอาหารของชุมชน ด้วยการนำเชื้อเห็ด มารดใส่รากของต้นกล้ายางนา เมื่อต้นโตก็สามารถเก็บเห็ดใต้ต้นได้อีก นอกจากนี้ ยังได้มีการต่อยอดนำน้ำมันยางนาไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อีกหลายชนิด เช่น สบู่ ครีมบำรุงผิว และยาหม่อง ยาเขียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานในด้าน Smart Marketing

 

 

 

โปรแกรมท่องเที่ยววิถีชุมชนลำดับถัดไป คือการนั่งรถลมโชย หรือรถพ่วงซาเล้ง ไปกราบสักการะหลวงปู่องค์แสน พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวพิมานที่วัดศรีชมชื่น และได้ทานอาหารท้องถิ่น อย่างพวกเมนูปลาท้องถิ่น และเห็ดที่เก็บได้จากผืนป่าในชุมชน 

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่สองสาวรอคอย คือการชิมเมล่อนที่ปลูกแบบ Smart Farming ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ด้วยนวัตกรรมนาโน ซิงค์ ออกไซด์ ซึ่งจะช่วยเร่งดอก เร่งยอด และช่วยให้ลำต้นเมล่อนแข็งแรง และยังมีการอุปกรณ์ IoT ในการดูแลระบบให้น้ำ พร้อมทั้งวัดความชื้น และวัดค่า PH ของดินอีกด้วย 

การปลูกเมล่อนของที่นี่ ยังมีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาร่วมด้วย โดยใช้ชันโรงมาช่วยในการผสมเกสรเมล่อน ช่วยย่นระยะเวลาในการปลูกให้กับเกษตรกรได้เยอะ ซึ่งผลผลิตเมล่อนที่ได้ออกมาก็บอกได้เลยว่า หวาน ถูกใจสองสาวเอามากๆ 

 

 

 

ใครที่อยากสัมผัสกิจกรรมท่องเที่ยวที่ได้ซึมซับวิถีชุมชน ได้ทานอาหารพื้นบ้านอร่อยๆ ได้เรียนรู้เรื่องความยั่งยืนแบบนี้ สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตำบลพิมาน อ.นาแก จ.นครพนม ส่วนทริปต่อไป เที่ยวติดโปร จะพาไปที่ไหน ติดตามกันได้เลย