Lifestyle

'วันคริสต์มาส' มีประวัติที่มาอย่างไร ทำไมตรงกับ 25 ธ.ค. ซานตาครอส มาจากไหน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

'วันคริสต์มาส' มีประวัติและความสำคัญอย่างไร ทำไมต้องตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี ขณะที่ 'ซานตาครอส' มาจากไหน ทำไมเด็กๆ ถึงเฝ้ารอคอย

'วันคริสต์มาส' (Christmas หมายถึง พิธีมิสซาของพระคริสต์) หรือ วันสมโภชพระคริสตสมภพ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของ พระเยซู เป็นวันหยุดทางศาสนาและวัฒนธรรม ประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลกจัดการเฉลิมฉลองในวันที่ 25 ธ.ค. วันดังกล่าวเน้นปีพิธีกรรมของคริสต์ศาสนิกชนเป็นสำคัญ 'วันคริสต์มาส' เป็นวันปิดเทศกาลเตรียมการรับเสด็จ และวันเริ่มต้นเทศกาลพระคริสตสมภพ สิบสองวัน คริสต์มาส เป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก และมีผู้ที่ไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชนหันมาเฉลิมฉลองกันมากขึ้น และเป็นส่วนสำคัญใน คริสต์มาส และฤดูวันหยุด

 

 

ประวัติ 'วันคริสต์มาส'

 

หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธ.ค. เป็นงานสมโภชการประสูติของพระเยซูตามพิธีกรรมแบบคริสต์นั้นปรากฏใน "ปฏิทินแห่ง ค.ศ. 354" ซึ่งเป็นหลักฐานในกรุงโรม ขณะที่ศาสนาคริสต์ตะวันออก การประสูติของพระเยซูนั้นมีการเฉลิมฉลองโดยเชื่อมโยงกับการเสด็จมาของ พระเยซู ในวันที่ 6 ม.ค. แล้ว การเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธ.ค. ทางตะวันออกได้รับไปภายหลัง ในแอนติออก โดย จอห์น คริสซอสตอม ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 4 อาจเป็น ค.ศ. 388 และในอเล็กซานเดรียเฉพาะในอีกศตวรรษต่อมา แม้ในทางตะวันตก การเฉลิมฉลองการสมภพของ พระเยซู ดูเหมือนจะมีต่อไปกระทั่งหลัง ค.ศ. 380

 

 

ประเพณีที่ได้รับความนิยมจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับ คริสต์มาส พัฒนาขึ้นโดยแยกจากพิธีฉลองการประสูติของ พระเยซู โดยบางส่วนมีกำเนิดในเทศกาลก่อนคริสเตียนรอบเทศกาลฤดูหนาวโดยประชากรเพเกินผู้ที่ภายหลังเปลี่ยนมานับถือ ศาสนาคริสต์ ส่วนเหล่านี้ รวมทั้งเค้กขอนไม้จากตรุษฝรั่ง และการให้ของขวัญจากแซเทิร์นาเลีย ได้ผสมเข้ากับ คริสต์มาส ในห้วงหลายศตวรรษ บรรยากาศซึ่งมีอยู่ทั่วไปของคริสต์มาสยังได้วิวัฒนาอย่างต่อเนื่องนับแต่การเริ่มต้น โดยมีหลากหลายตั้งแต่สภาพเสียงดัง มึนเมาและคล้ายงานรื่นเริงในยุคกลาง มาเป็นธีมที่สงบลง โดยเน้นครอบครัวและยึดเด็กเป็นศูนย์กลางเริ่มตั้งแต่การปฏิรูปในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยิ่งไปกว่านั้น การเฉลิมฉลองคริสต์มาสยังเคยถูกห้ามมากกว่าหนึ่งครั้งในนิกายโปรแตสแตนท์เพราะความกังวลว่าประเพณีนั้นเป็นเพเกินหรือแย้งต่อคัมภีร์ไบเบิลมากเกินไป

 

 

การเฉลิมฉลอง

 

'วันคริสต์มาส' เป็นเทศกาลหลักและวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มิใช่คริสต์ศาสนิกชน ในบางประเทศที่มิใช่คริสต์ ประเทศเหล่านี้รับคริสต์มาสเข้ามาระหว่างถูกปกครองเป็นอาณานิคม (เช่น ฮ่องกง) ส่วนในประเทศอื่น ประชากรค่อยๆ รับเอาการเฉลิมฉลองของคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มน้อยหรืออิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างประเทศ ในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลี

 

คริสต์มาส เป็นที่นิยมแม้มีคริสตศาสนิกชนน้อย ก็ได้รับเอาคริสต์มาสส่วนที่เป็นฆราวาสหลายอย่าง เช่น การให้ของขวัญ การประดับตกแต่ง และต้นคริสต์มาส ประเทศที่คริสต์มาสไม่ใช่วันหยุดราชการ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน (ยกเว้นฮ่องกงและมาเก๊า) ญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย อัลจีเรีย ไทย เนปาล อิหร่าน ตุรกี และเกาหลีเหนือ การเฉลิมฉลองคริสต์มาสรอบโลกอาจมีรูปแบบแตกต่างกันชัดเจนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละชาติ

 

 

การให้ของขวัญ

 

การแลกของขวัญเป็นหนึ่งในแง่มุมหลักของการเฉลิมฉลอง คริสต์มาส สมัยใหม่ ซึ่งทำให้ เทศกาลคริสต์มาส เป็นช่วงทำกำไรสูงสุดของปีสำหรับผู้ค้าปลีกและธุรกิจทั่วโลก การให้ของขวัญเป็นปกติในการเฉลิมฉลองแซเทิร์นาเลีย (Saturnalia) เทศกาลโบราณของโรมันซึ่งจัดขึ้นในปลายเดือนธันวาคมและอาจมีอิทธิพลต่อประเพณีคริสต์มาส การให้ ของขวัญคริสต์มาส ถูกห้ามโดยคริสตจักรคาทอลิกในยุคกลางเพราะสงสัยประเพณีดังกล่าวว่ามีต้นกำเนิดมาจากเพเกิน ภายหลังคริสตจักรใช้เหตุผลตัดสินบนพื้นฐานว่าเป็นการเชื่อมโยง นักบุญนิโคลัส กับ คริสต์มาส และของขวัญที่เป็นทองคำ กำยานและมดยอบก็ได้มอบถวายแด่พระกุมารเยซูโดยนักปราชญ์ทั้งสาม

 

 

ซานตาคลอส

 

ซานตาคลอส หรือรู้จักกันในชื่อ นักบุญนิโคลัส, ฟาเธอร์คริสต์มาส หรือเรียกสั้นๆ ว่า "ซานตา" เป็นบุคคลที่มีจุดกำเนิดทางตำนาน เทพปกรณัม ประวัติศาสตร์และตำนานพื้นบ้าน ตามวัฒนธรรมตะวันตกหลายประเทศ กล่าวกันว่าเขาเป็นผู้นำของขวัญไปยังบ้านของเด็กดีในช่วงเย็นและข้ามคืน วันคริสต์มาสอีฟ วันที่ 24 ธ.ค. ภาพลักษณ์สมัยใหม่ถูกดัดแปลงมาจากภาพลักษณ์ซินเทอร์กลาส แบบดัตช์ ซึ่งอาจมีพื้นฐานมาจากเรื่องเล่าชีวประวัตินักบุญเกี่ยวกับบุคคลในประวัติศาสตร์ผู้ให้ของขวัญชื่อ นักบุญนิโคลัส อีกทอดหนึ่ง เรื่องเล่าที่แทบไม่ต่างกันยังปรากฏในตำนานพื้นบ้านกรีกและไบแซนไทน์ คือ บาซิลแห่งซีซาเรีย วันสมโภชของบาซิลในวันที่ 1 ม.ค. นั้น ถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการแลกของขวัญในกรีซ

 

โดยทั่วไป ซานตาคลอส หลายคนคิดภาพว่าเป็น ชายเคราขาวร่างท้วมผู้ร่าเริงสนุกสนาน สวมโค้ทสีแดงกับคอเสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีแดง เข็มขัดและรองเท้าหนังสีดำ (ภาพของเขามักไม่ค่อยมีเคราโดยไม่มีหนวด) ซึ่งภาพลักษณ์นี้ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากอิทธิพลอย่างสำคัญของกวี "การมาเยี่ยมจากนักบุญนิโคลัส" ของคลีเมนต์ คลาร์ก มัวร์ ใน ค.ศ.1823 และของนักเขียนภาพล้อเลียนและนักวาดการ์ตูนการเมือง โทมัส แนสต์

 

ตามความเชื่อซึ่งสามารถสืบย้อนไปได้ถึง ค.ศ. 1820 ซานตาคลอส อาศัยที่ขั้วโลกเหนือ พร้อมกับเอลฟ์มีเวทมนตร์จำนวนมากและกวางเรนเดียร์เหาะเก้าตัว (แต่เดิมมีแปด) ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20 ในแนวคิดซึ่งทำให้ได้รับความนิยมโดยเพลง "ซานตาคลอสกำลังมาเมือง" ใน ค.ศ. 1934 เชื่อกันว่า ซานตาคลอส ทำรายชื่อเด็กทั่วโลก และแบ่งประเภทพวกเขาตามพฤติกรรม ทั้ง ดื้อ และ น่ารัก

 

ในกลางดึก 'วันคริสต์มาส' ซานตาคลอส จะแอบเข้าไปในบ้านที่มีเด็กประพฤติดีทางปล่องไฟ เพื่อนำของขวัญไปใส่ในถุงเท้าที่แขวนรอไว้หน้าเตาผิง รวมทั้งของเล่นและลูกกวาด และบางครั้งส่งถ่านหินไปให้เด็กดื้อ ภายในคืน วันคริสต์มาสอีฟ คืนเดียว เขาสำเร็จได้ด้วยความช่วยเหลือของเอลฟ์ผู้ทำของเล่นในโรงงาน และกวางเรนเดียร์ที่ลากเลื่อนหิมะของเขา

 

 

logoline