เปิดเทคนิคเลือกซื้อ "เมล็ดกาแฟคั่ว" อร่อยแบบมือโปร
กาแฟจะอร่อยหรือไม่นั้น นอกจากสูตรที่ดีและกรรมวิธีที่ถูกต้องในการชงแล้ว ตัวเมล็ดกาแฟคั่วที่นำมาใช้เองก็ส่งผลอย่างมากต่อรสชาติของกาแฟด้วยเช่นกัน เปิดเทคนิคเลือกซื้อเมล็ดกาแฟคั่ว อร่อยแบบมือโปร
ทุกวันนี้ร้านจำหน่ายเมล็ดกาแฟได้มีการพัฒนาไปมากซึ่งมีความละเอียดในการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟมากกขึ้น ถ้าหากอยากได้เมล็ดกาแฟมาชงกินเองสักถุง เราสามารถเลือกซื้อเมล็ดกาแฟที่มีระดับการคั่วแบบ คั่วอ่อน คั่วกลาง คั่วเข้ม แต่อาจจะมีมึนงงสับสนกับตัวเลือกที่มากมายเป็นร้อยๆชนิด "เมล็ดกาแฟอันไหนดี ของที่ไหนจะอร่อย" คราวนี้จะเลือกซื้อเมล็ดกาแฟอย่างไรกันดี ให้รสชาติตรงใจ
เทคนิคเลือกซื้อเมล็ดกาแฟคั่วแบบมือโปร
1. อันดับแรกควรดูวันเดือนปีที่ผลิตและวันหมดอายุก่อน จำง่าย ๆ ว่ากาแฟจะหอมที่สุดหลังคั่วเสร็จใหม่ ๆ จากนั้นความหอมจะลดลงเรื่อยๆ แม้ปกติกาแฟจะเก็บได้นาน 6-12 เดือนก็ตาม แต่เราก็ควรเลือกถุงที่ใหม่กว่าเพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นที่สมบูรณ์
2. เลือกซื้อถุงขนาดเล็กหรือใหญ่ ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ คำนวนให้เมื่อเปิดถึงแล้วต้องใช้ให้หมดภายใน 1 สัปดาห์จะดีที่สุด
3. Single Origin ตามด้วยชื่อเมืองที่ระบุบนถุงกาแฟ หมายถึงเป็นกาแฟที่มีรสชาติเฉพาะตัวเป็นพิเศษจากการผลิตของเมืองนั้น ๆ
4. Espresso หรือ Dark Roast คือเมล็ดกาแฟคั่วแบบเข้มข้น หากต้องการเมล็ดกาแฟคั่วระดับกลาง ๆ ให้เลือก Medium Roast
5. เมล็ดกาแฟจะคายอากาศและความชื้น ซึ่งส่งผลให้คุณภาพลดลงและอาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ จึงควรเลือกกาแฟที่บรรจุในซองระบายอากาศ หรือ Freshness Wolves
6. เมล็ดกาแฟคั่ว ไม่ถูกกับแสงแดดและความชื้น จึงควรเลือกที่เก็บพ้นจากแสงแดดและไม่เก็บในตู้เย็น เพราะจะทำให้เมล็ดกาแฟชื้น นอกจากนี้กลิ่นอาหารต่างๆในตู้เย็นจะติดเมล็ดกาแฟอีกด้วย
Taste note
บนซองกาแฟจะเขียน taste note หรือเป็นการบอกว่า เมล็ดกาแฟถุงนี้เมื่อนำไปชงแล้วจะได้รับรสชาติไหนบ้าง รวมถึง บอกถึงรสชาติที่มีความคล้ายคลึงของ ผลไม้หรืออาหารที่เจอในชีวิตประจำวัน เช่น sweet , sour , orange , berry เป็นต้น อย่าแปลกใจถ้าเราไม่เจอรสชาติตามที่ซองได้เขียนไว้ เพราะอาจจะเกิดจาก
- ใช้ทำกาแฟผิดประเภทหรือสกัดกาแฟผิดช่วงเวลาของกาแฟ เช่น กลิ่นดอกไม้ (floral) จะถูกสกัดช่วงเวลาท้ายๆ เช่น 2.30-3.00 นาที เพราะฉะนั้นถ้าสกัดกาแฟ จบด้วยเวลาที่สั้นหรือนานเกินไป อาจจะไม่ได้รับ taste note บางประเภทได้
- taste note ที่เขียนบนซองกาแฟไม่เพียงแต่บอกรสชาติของกาแฟ แต่บอกถึงกลิ่น และ after taste ของกาแฟนั้นๆ เพราะฉะนั้นถ้าไม่พบรสชาตินั้น ให้ลองดมกลิ่น หรือลองชิมแล้วสัมผัส after taste เพิ่มดูจะมีโอกาสเจอ taste note ที่หายไปมากขึ้น
ระดับการคั่วของกาแฟ
คั่วอ่อน – Light Roast
การคั่วในระดับนี้ รสชาติจะมีความเปรี้ยว, ฟรุ๊ตตี้, ถั่ว ความขมน้อย ดื่มสไตล์เดียวกันชา
คั่วกลาง – Medium Roast
ยังมีความเปรี้ยวพอสมควร แต่ให้รสชาติที่กลมกล่อม Taste Note ฟรุ๊ตตี้, ถั่ว ชัดเจนมากขึ้น ความขมปานกลาง เป็นระดับที่ค่อนข้างนิยม
คั่วกลางเข้ม – Medium Dark Roast
รสชาติไปในแนว Dark Chocolate หอมแบบคาราเมล บอดี้ค่อนข้างสูง มีความขมมาก ไม่เปรี้ยว
คั่วเข้มมาก – Dark Roast
รสชาติจะมีความขมเข้มมากๆ บอดี้สูง หอมกลิ่นคั่ว Smoky ไม่เปรี้ยว
สำหรับสายพันธุ์ของกาแฟ
ถ้าจะลงกันให้ลึกก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากมากทีเดียวนะครับ แต่ถ้าเราเอาแบบกว้างๆ หน่อยสายพันธุ์หลักของกาแฟจะแบ่งเป็น 2 สายพันธุ์ นั่นคือ โรบัสต้า กับ อราบิก้านั่นเอง โดยเมล็ดสองสายพันธุ์นี้มีรสชาติที่ต่างกันมาก
- โรบัสต้า (Robusta) : มีลักษณะที่มีความเข้มสูง มีคาเฟอีนที่สูงกว่าอราบิก้ามาก จึงทำให้มีรสชาติที่ขมกว่า สามารถปลูกได้ง่ายในพื้นที่ระดับใกล้น้ำทะเล (ความสูงไม่มาก) และลักษณะของรสชาติทำให้มีราคาถูกกว่าอราบิก้า มักนำไปทำเป็นกาแฟสำเร็จรูป หรือนำไปผสมในกาแฟสดเพื่อให้มีความเข้มมากขึ้น
- อราบิก้า (Arabica) : มีลักษณะที่มี Acidity สูง ทำให้มีความเปรี้ยวที่มากกว่า มีปริมาณคาเฟอีนที่ต่ำกว่าโรบัสต้ามาก มีกลิ่นหอมที่ซับซ้อน สามารถเติบโตได้ในอากาศที่ไม่ร้อนเกินไป บนพื้นที่สูง สายพันธุ์อราบิก้าจึงมักปลูกบนที่สูง และยิ่งสูงก็ดูเหมือนจะยิ่งมีผลต่อลักษณะของรสชาติอีกด้วย