ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก “ร้านสีฟ้า” ร้านอาหารชื่อดังที่มีสโลแกนว่า "อย่าลืมสีฟ้า เวลาหิว" ประกาศปิดสาขาสยามสแควร์ หลังจากที่เปิดให้บริการมากว่า 50 ปี โดยจะเปิดให้บริการวันสุดท้าย 11 กรกฎาคม 2566 ลูกค้าสามารถใช้บริการสาขาใกล้เคียงได้ที่ สีฟ้า สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และ สาขาธนิยะ
วันนี้ คมชัดลึก จะพาไปย้อนตำนานของ “ร้านอาหารสีฟ้า” จากจุดเริ่มต้นของร้านขนาดเล็กขายไอศกรีม กาแฟ และผลไม้อยู่ย่านท่าน้ำราชวงศ์สู่ร้านอาหารยอดนิยมคนทะลัก และมีการขยายสาขาไปมากกว่า 20 แห่ง
“ร้านสีฟ้า” เริ่มเมื่อปี 2479 โดย เปล่ง รัชไชยบุญ ชายหนุ่มเชื้อสายจีนผู้เดินทางไกลมาทำงานอยู่ในเมืองไทย เมื่อเริ่มเก็บเงินตั้งตัวได้จึงร่วมกับเพื่อนเปิดร้านขายไอศกรีม กาแฟ และผลไม้อยู่ย่านท่าน้ำราชวงศ์ ซึ่งเป็นร้านขนาดเล็กห้องเดียวไม่มีชื่อ เมื่อร้านอาหารรอบข้างเริ่มปิดตัวลง ร้านจึงได้ทดลองผลิตเมนูอาหารคาวเพิ่ม โดยจ้างกุ๊กคนจีนมาช่วยคิดค้นสูตรให้ ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์อร่อยติดปาก คุณภาพดี จึงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคทำให้ต้องขยายร้านเพิ่มขึ้นตามมา
หลายครั้งที่ลูกค้าต้องออกซื้อออกมานั่งกินนอกร้าน หรือบางรายต้องนั่งกินในรถ ซึ่งเป็นภาพที่เห็นกันจนชินตาเช่นเดียวกับร้านอาหารชื่อดังของย่านราชวงศ์ในเวลานั้น ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่มานั่งรับประทานนั้นมักเป็นเจ้าของตึก เจ้าของกิจการที่มีฐานะดี เมนูขึ้นชื่อตั้งแต่ "ร้านอาหารสีฟ้า" เปิดช่วงแรก ได้แก่ ข้าวหน้าไก่ราชวงศ์, บะหมี่ราชวงศ์, บะหมี่แห้งอัศวิน, เป็ดย่างหมูแดง เป็นต้น
ส่วนที่มาของชื่อ “ร้านสีฟ้า” นั้น มาจากช่วงที่เริ่มมีการปรับปรุงขยายร้านใหม่ มีการทาผนังเป็นสีฟ้า และเปลี่ยนนำหลอดไฟนีออนเข้ามาใช้แทนหลอดไส้ เมื่อผู้คนผ่านมาเห็นจึงพากันเรียกว่า “ร้านสีฟ้า” จึงนำมาตั้งเป็นชื่อร้านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พร้อมกับสร้างโลโก้เป็นภาพลายเส้นถ้วยไอติมโบราณและตัวอักษรลวดลายประแจจีนเขียนคำว่า สีฟ้า ด้วย ต่อมาในภายหลังจึงปรับเป็นรูปชามจีนโบราณและตัวหนังสือให้อ่านง่ายขึ้น
การเติบโตของห้องอาหารสีฟ้าในยุคแรกนั้น มักมีการเปิดตัวและเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพมหานครมาโดยตลอด ตั้งแต่ย่านท่าน้ำราชวงศ์ที่เป็นแหล่งขนส่งสินค้าทางเรือสำคัญไปยังประเทศต่างๆ
ต่อมาในปี 2504 เมื่อฐานความเจริญย้ายไปยังย่านวังบรูพา ซึ่งมีการเปิดตัวห้างสรรพสินค้า (เซ็นทรัล วังบรูพา) ตลาด และโรงหนังหลายแห่ง เป็นแหล่งชุมนุมของวัยรุ่นยุค 2499 สีฟ้าจึงได้เปิดสาขาที่ 2 ขึ้นหลังวังแถวโรงหนังคิงส์ ควีน จนกระทั่งพื้นที่ย่านสยามสแควร์ได้กลายเป็นศูนย์การค้าแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งของโรงหนังชื่อดังแห่งยุคหลายแห่ง ได้แก่ สยาม, ลิโด้ และสกาล่า “ร้านอาหารสีฟ้า” จึงได้ขยายเปิดตัวสาขาที่ 3 ขึ้น โดยเป็นช่วงที่สาขาแรกหมดสัญญาเช่า และย่านวังบรูพา ซึ่งเป็นที่ตั้งสาขา 2 ก็เริ่มเสื่อมความนิยมลงพอดี
“ร้านสีฟ้า” จึงเป็นเหมือนร้านอาหารของคนกรุงที่เติบโตเคียงคู่แหล่งเศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ มาตลอด แม้อาจดูช้าไปบ้างก็ตามที เพราะกว่าจะเปิดเพิ่มเป็นแห่งที่ 3 กิจการก็ดำเนินมากว่า 35 ปีแล้ว แต่ก็เป็นสาขาที่ประสบความสำเร็จและได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคหนุ่มสาวยุคนั้นมาโดยตลอด
ภายหลังการเข้ามาบริหารดูแลของทายาทรุ่น 2 ที่รับช่วงต่อตั้งแต่สาขาที่ 3 มีการนำระบบบริหารจัดการร้านอาหารเข้ามาใช้อย่างจริงจัง มีการจ้างพนักงานให้มาเป็นผู้จัดการร้าน จากที่บริหารจัดการกันเอง ทำให้ “ร้านอาหารสีฟ้า” ขยายสาขาออกไปได้รวดเร็วขึ้นปีละ 1–2 แห่งและมีการสร้างสโลแกนฮิตติดหูของร้านอย่าง “อย่าลืม สีฟ้า เวลาหิว” ไปจนถึงปรับโลโก้แบรนด์ใหม่ โดยเปลี่ยน พ.ศ. 2479 มาเป็น since 1936 และทำโฆษณาออกมาในอายุครบรอบ 51 ปี ซึ่งมีการใช้เอเจนซี่โฆษณาชื่อดังอย่างโอกิลวี่ และศิลปินนักแต่งเพลงชื่อดังอย่างบอย โกสิยพงศ์ และนักร้องคุณภาพ ป๊อด โมเดิร์นด็อก มาแต่งเนื้อหาและขับร้องเพลงให้ จึงทำให้ชื่อแบรนด์สีฟ้าเติบโตและเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้นไปอีก
ถึงแม้จะมีการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นอีกหลายสิบแห่ง แต่ดูเหมือนว่า “ร้านสีฟ้า” จะเป็นร้านอาหารที่คุ้นเคยและรู้จักดีของคนอายุวัย 30–40 ปีขึ้นไปเท่านั้น ทั้งที่มีเรื่องราวและความน่าสนใจมากมาย โดยปัญหาในข้อดังกล่าวนี้ได้รับการแก้ไขจากทายาทรุ่นที่ 3 อย่าง “กร รัชไชยบุญ” ที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกิจเมื่อสิบกว่าปีก่อนในช่วงที่ร้านสีฟ้ามีอายุครบรอบ 72 ปี มีการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ใหม่ ตั้งแต่การปรับรูปโฉมของร้านให้ดูมีความร่วมสมัยของยุคปัจจุบันและความคลาสสิกของยุคก่อน เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น มีการนำภาพขาวดำ เก้าอี้ทรงเชคโก และโคมไฟมาใช้ตกแต่งให้เข้ากับธีมสีฟ้าของร้าน ไปจนถึงการสื่อสารกับผู้บริโภคออกไปให้มากขึ้น
มีการนำเรื่องราวที่น่าสนใจ นำประวัติความเป็นมาของแบรนด์สีฟ้ามาบอกเล่าให้ผู้บริโภคยุคใหม่ได้รับรู้ และอีกสิ่งที่สำคัญ คือ การถ่ายทอด DNA ของแบรนด์ออกไปให้รับรู้ ตั้งแต่ความพิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบ การปรุงอาหารที่มีความละเมียดละเอียดใส่ใจ ไปจนถึงการให้บริการที่มีความอ่อนน้อมสุภาพ แสดงถึงความมีระดับของห้องอาหารคลาสสิกเอาไว้ได้อย่างดี
นอกจากนี้ยังมีการแตกไลน์ธุรกิจไปยังกลุ่มธุรกิจอาหารอื่นๆ ทั้งธุรกิจแคตเทอริ่ง ธุรกิจ F&B Service การรับผลิตอาหารส่งบนสายการบิน รวมถึงการแตกแบรนด์ย่อยออกมา โดยใช้ประสบการณ์เก่าแก่ที่มี เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้คนยุคใหม่ได้มากขึ้น เช่น BlueSpice ร้านอาหารสไตล์นานาชาติที่นำอาหารญี่ปุ่น และฝรั่งมาผสมผสานกับเมนูดั้งเดิมของสีฟ้า
ร้าน อิ่มไทย ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงาน รวมถึงการขยายสาขาไปยังต่างประเทศด้วยในชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป อาทิ สีฟ้า – ฮ่องกง, แม่ปิง – อังกฤษ และ พาที – เมลเบิร์น นอกจากนี้ยังมีการรื้อฟื้นและเพิ่มเติมในส่วนของเบเกอรี่ขึ้นมา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจของร้านสีฟ้าเข้ามาด้วย
จากการบริหารที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ “ร้านอาหารสีฟ้า” เป็นธุรกิจที่โดดเด่น และมีมนต์เสน่ห์ของความเป็น Family Business ที่แท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง