ไลฟ์สไตล์

เช็กอาการด่วน! ปวดหัวตรงไหน บอกโรคอะไรได้บ้าง และวิธีดูแลเบื้องต้น

เช็กอาการด่วน! ปวดหัวตรงไหน บอกโรคอะไรได้บ้าง และวิธีดูแลเบื้องต้น

21 ก.ย. 2568

เช็กอาการด่วน! ปวดหัวตรงไหน บอกโรคอะไรได้บ้าง "หมอเจด" แนะวิธี ดูแลตัวเองเบื้องต้น หากเป็นบ่อยจนรบกวนชีวิต ต้องรีบปรึกษาแพทย์

"หมอเจด" หรือ นายแพทย์ เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า ปวดหัวตรงไหน บอกโรคอะไรได้บ้าง เช็กอาการด่วน

เชื่อว่าอาการปวดหัว คนเป็นกันเยอะนะ จริง ๆ แล้ว การปวดหัวแต่ละแบบมันไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะตำแหน่งที่ปวดบอกอะไรได้หลายอย่าง เดี๋ยวอธิบายให้ฟังนะว่า “ปวดหัวตรงไหน คิดถึงอะไร?” พร้อมวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น เอาไว้เป็นแนวทาง ถ้าใครปวดบ่อย ๆ จะได้เช็กตัวเองได้

 

1. ปวดหัวหน้าผาก ขมับ 2 ข้าง


เคยเป็นไหมครับ นั่งทำงานหรือเรียนมาทั้งวัน รู้สึกตึง ๆ หนัก ๆ ตรงหน้าผาก ขมับทั้งสองข้าง บางทีก็ลามไปถึงคอและบ่าเลย อันนี้เรียกว่า "Tension-type Headache" หรือปวดหัวจากความเครียดนั่นแหละ

สาเหตุหลัก ๆ ของการปวดแบบนี้ก็มาจากความเครียด การนั่งหลังค่อมจ้องคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือพักผ่อนไม่พอ ซึ่งมันทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและหนังศีรษะตึงตัว พอตึงมาก ๆ ก็ปวดหัว บางทีก็รู้สึกเหมือนหัวโดนรัดด้วยสายยาง

วิธีแก้คือ ถ้าเป็นแบบนี้ลองพักสายตาบ้าง ทุกชั่วโมงควรลุกไปยืดเส้นยืดสาย นวดขมับเบา ๆ หรือใช้วิธีหายใจลึก ๆ ช้า ๆ ผ่อนคลายความเครียดให้ตัวเอง ถ้าไม่ไหวจริง ๆ กินยาพาราเซตามอลสักเม็ดก็ช่วยได้ แต่อย่าปล่อยให้มันเรื้อรังนะ ถ้าปวดหัวบ่อยเกินไป ควรปรึกษาหมอ เพราะบางทีมันอาจมีปัญหาเรื่องสารเคมีในสมอง อย่าง เซโรโทนิน (Serotonin) ที่ไม่สมดุลก็ได้นะ

เช็กอาการด่วน! ปวดหัวตรงไหน บอกโรคอะไรได้บ้าง และวิธีดูแลเบื้องต้น

2. ปวดหัวข้างเดียว ปวดรอบดวงตา


อาการนี้เจอบ่อย ถ้าใครเคยปวดหัวข้างเดียวแบบตุบ ๆ ร้าว ๆ ต้องระวังนะครับ อันนี้เป็นอาการขอ ไมเกรน (Migraine) ไมเกรนไม่ใช่แค่ปวดหัวธรรมดานะ บางคนเป็นหนัก ๆ ถึงขั้นคลื่นไส้ อาเจียน หรือเห็นแสงสว่างวูบวาบ (Aura) ร่วมด้วย ซึ่งมันเกิดจากหลอดเลือดในสมองขยายตัวผิดปกติ บวกกับการปล่อยสารเคมีอย่าง CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) ที่ทำให้เกิดการอักเสบและความปวด คนที่เป็นไมเกรนต้องระวังสิ่งกระตุ้นไมเกรน

 

  • นอนดึกหรือนอนไม่พอ
  • ความเครียดสะสม
  • แสงจ้า ๆ หรือเสียงดัง ๆ
  • อาหารบางชนิด เช่น ชีส คาเฟอีน หรือของหวานจัด

 

ถ้ารู้สึกว่าไมเกรนกำลังจะมา รีบหาที่เงียบ ๆ มืด ๆ แล้วนอนพักเลยครับ ยิ่งเริ่มพักไว อาการจะเบาลง แต่ถ้าเป็นบ่อยมากควรไปหาหมอให้สั่งยากลุ่ม Triptans ซึ่งออกฤทธิ์เฉพาะกับไมเกรนครับ

 

3. ปวดแก้ม โหนกแก้ม ดั้งจมูก

 

ถ้ารู้สึกปวดแน่น ๆ ที่โหนกแก้ม รอบ ๆ ดั้งจมูก แล้วมีน้ำมูกข้น ๆ หายใจไม่ค่อยออก อันนี้ต้องคิดถึง ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียในโพรงไซนัส ทำให้น้ำมูกค้างอยู่ข้างใน กดทับเป็นแรงดันออกมาที่หน้าแก้มและหน้าผาก แถมบางคนพอเวลาต้องก้มหน้า แรงดันทำให้เอาปวดจี๊ดได้เลย ถ้ามีอาการแบบนี้ ลองดื่มน้ำอุ่น ๆ เยอะ ๆ ช่วยให้น้ำมูกไม่ข้นเกินไป แต่ถ้าปวดหนัก น้ำมูกเขียว แนะนำไปหาหมอดีกว่า เพราะบางทีอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

4. ปวดหน้าผากและเบ้าตา


ถ้าปวดตื้อ ๆ ตรงหน้าผาก ลามไปถึงเบ้าตา อาการแบบนี้เกิดจากการใช้สายตาหนัก ๆ ครับ เช่น จ้องมือถือหรือคอมพิวเตอร์นานเกินไป หรืออาจเกิดจาก กล้ามเนื้อกรามอักเสบ (TMD) ซึ่งบางคนไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองชอบกัดฟันเวลานอน

วิธีสังเกตง่าย ๆ คือ ถ้าเคี้ยวของเหนียว ๆ แล้วเจ็บ หรืออ้าปากกว้างแล้วปวดร้าวมาที่หัว แสดงว่ากล้ามเนื้อกรามทำงานหนักครับ แก้ได้ด้วยการ

 

  • พักสายตาทุก ๆ 20 นาที มองไปไกล ๆ สัก 20 วินาที
  • ลดการเคี้ยวอาหารแข็ง ๆ เหนียว ๆ อย่างหมากฝรั่ง
  • ประคบร้อนบริเวณขากรรไกรและนวดเบา ๆ ช่วยได้ดี

 

5. ปวดหัวรุนแรง เห็นภาพซ้อน – สัญญาณอันตรายต้องรีบหาหมอ

 

อันนี้ขอเตือนเลยนะครับ ถ้าใครปวดหัวรุนแรงแบบทนไม่ไหว เหมือนโดนทุบหัว และมีอาการอื่น ๆ อย่างแขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือเห็นภาพซ้อน รีบไปโรงพยาบาลด่วนเลยครับ เพราะอาการแบบนี้อาจเป็นสัญญาณของ หลอดเลือดสมองแตก หรือสมองขาดเลือดได้

การปวดแบบนี้อันตรายมาก เพราะมันเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง เช่น ภาวะสมองขาดเลือด (Stroke) หรือเลือดออกในสมอง

หมอเจด ยังฝากทุกคนดูแลตัวเองกันด้วยนะครับ สิ่งสำคัญคือ ถ้าอาการปวดหัวมันแปลก ๆ ปวดหนักขึ้น หรือเป็นบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน อย่าปล่อยทิ้งไว้ รีบปรึกษาหมอให้ไวเลยดีกว่า เพราะบางทีมันอาจเป็นสัญญาณเตือนโรคอื่น ๆ ที่เราคาดไม่ถึงก็ได้