ไลฟ์สไตล์

"เก๋ ชลลดา" ปวดหัวทรมาน รู้จักโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อไวรัสเริมขึ้นสมอง

"เก๋ ชลลดา" ปวดหัวทรมาน รู้จักโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อไวรัสเริมขึ้นสมอง

04 ส.ค. 2568

"เก๋ ชลลดา" ปวดหัวทรมาน รู้จักโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อไวรัสเริมขึ้นสมอง หมอชี้! อาการเตือนภัย หากเมื่อมีอาการปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติ ต้องรีบหาหมอทันที!

 

จากข่าว "เก๋ ชลลดา เมฆราตรี" นักแสดงและนางแบบชื่อดัง เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน หลังมีอาการปวดหัวรุนแรงผิดปกติ จนตรวจพบว่าป่วยเป็น "โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningoencephalitis)" ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเริมที่ลุกลามขึ้นสมอง ล่าสุดเจ้าตัวอัปเดตอาการว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องพักรักษาตัวและรับยาฆ่าเชื้ออย่างต่อเนื่อง 

 

\"เก๋ ชลลดา\" ปวดหัวทรมาน รู้จักโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อไวรัสเริมขึ้นสมอง

ทางด้านคุณ หมอโอ๊ค DoctorSixpack  ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับ โรคเยื่อบุสมองอักเสบ (เชื้อไวรัสเริม) - Viral Meningitis

 

 หมอโอ๊ค DoctorSixpack 

 

โรคคืออะไร?

  • เยื่อบุสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสเริม (Herpes Simplex Viral Meningitis) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus) ซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังเกิดการอักเสบและบวม เยื่อหุ้มสมองคือชั้นเยื่อบางๆ ที่ทำหน้าที่ปกป้องสมองและไขสันหลัง

 

ไวรัสเริมที่เป็นสาเหตุแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

  • HSV-1 (Herpes Simplex Virus Type 1)** - มักพบในช่องปากและใบหน้า
  • HSV-2 (Herpes Simplex Virus Type 2)** - มักพบในอวัยวะเพศ
  • ทั้งสองประเภทสามารถก่อให้เกิดเยื่อบุสมองอักเสบได้ โดย HSV-2 มักพบในผู้ใหญ่มากกว่า

 

 

อาการของโรค

อาการหลัก (Classic Triad)

1. ปวดศีรษะรุนแรงมาก - เจ็บปวดที่รุนแรงกว่าไมเกรนปกติ

2. คอแข็ง- ไม่สามารถก้มคอลงได้ คอจะแอ่นไปข้างหลัง

3. ไข้สูง- มักจะขึ้นลงตลอดเวลาแม้รับประทานยาลดไข้

 

อาการเพิ่มเติม

  • คลื่นไส้และอาเจียนรุนแรง
  • กลัวแสง (Photophobia)
  • ง่วงซึม หรือเฉื่อยชา
  • ความจำเสื่อม หรือสับสน
  • ชักในบางกรณี
  • ผื่นแดงในบางราย

 

ไวรัสเริมแพร่เชื้อได้หลายทาง 

  • การสัมผัสโดยตรง - ผ่านการจูบ หรือสัมผัสกับแผลที่ติดเชื้อ
  • การมีเพศสัมพันธ์ - โดยเฉพาะ HSV-2
  • การคลอดบุตร - แม่ติดเชื้อถ่ายทอดให้ลูก
  • การใช้ของส่วนตัวร่วมกัน - แก้วน้ำ ช้อนส้อม ลิปสติก

 

 ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ

  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ความเครียดมาก
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ภาวะก่อนวัยทอง (Premenopause)
  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
  • อายุมากหรือน้อยมาก

 

ปัจจัยที่ทำให้อาการรุนแรง

  • ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
  • การใช้ยาลดภูมิคุ้มกัน
  • ผู้สูงอายุและเด็กทารก

 

การวินิจฉัย

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

1. การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture)

- เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุด

- ตรวจหา DNA ของไวรัสเริมในน้ำไขสันหลัง

- ตรวจนับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เพิ่มขึ้น

2. การตรวจเลือด

- ตรวจหาแอนติบอดี้ของไวรัสเริม

- ตรวจนับเซลล์เม็ดเลือดขาว

- ตรวจหาการอักเสบในร่างกาย

3. การตรวจทางภาพ

- CT Scan หรือ MRI สมอง - เพื่อดูการบวมของสมอง

- EEG - ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อในสมอง

 

การรักษาด้วยยา

1. ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs)

- Acyclovir - ยาหลักในการรักษา ให้ทางหลอดเลือดดำ

- Valacyclovir

- Famciclovir

2. ยาแก้อาการ

- ยาแก้ปวดและลดไข้ (Paracetamol, NSAIDs)

- ยาลดการอักเสบ (Steroids) ในบางกรณี

- ยาป้องกันชัก หากมีอาการชัก

3. การรักษาพยุงอาการ

- การให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด

- การควบคุมความดันโลหิต

- การดูแลระบบหายใจ

 

 ระยะเวลาการรักษา

  • - การรักษาด้วยยาต้านไวรัสนาน 10-14 วัน
  • - ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด 2-3 สัปดาห์
  • - ฟื้นฟูหลังจากรักษาประมาณ 2-4 สัปดาห์

 

การดูแลตัวเองและการฟื้นฟูระหว่างป่วย

  • - พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
  • - ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน
  • - หลีกเลี่ยงแสงจ้า
  • - รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
  • - หลีกเลี่ยงการออกแรงมาก

 

หลังหายป่วย

  • - ออกกำลังกายเบาๆ ตามความสามารถ
  • - กลับมาทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • - ติดตามอาการซ้ำ
  • - ตรวจสุขภาพตามนัดหมายแพทย์

 

การป้องกันการติดเชื้อแรก

  • - หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีแผลเริม
  • - ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน
  • - มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
  • - รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
  •  การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
  • - หลีกเลี่ยงความเครียด
  • - พักผ่อนให้เพียงพอ
  • - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดีต่อร่างกาย
  • - รับประทานยาต้านไวรัสป้องกัน หากแพทย์แนะนำ
  •  

 

อาการเตือนภัยที่ต้องรีบพบแพทย์

  • - ปวดศีรษะรุนแรงมาก ผิดจากเดิม
  • - ไข้สูงพร้อมคอแข็ง
  • - อาเจียนรุนแรงไม่หยุด
  • - ง่วงซึมผิดปกติ
  • - ตัวแข็ง หรือชัก
  • - มองเห็นภาพซ้อน
  • - พูดไม่ชัด หรือสับสน

 

ข้อมูลสำคัญที่ควรจำ

  • - **ไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หาย - หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา
  • - การรักษาเร็วช่วยลดภาวะแทรกซ้อน- ยิ่งรักษาเร็วยิ่งดี
  • - ไม่ติดต่อทางอากาศ - ต้องสัมผัสโดยตรงจึงจะติด
  • - สามารถป้องกันได้- ด้วยการดูแลสุขภาพและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
  • - ติดตามอาการต่อเนื่อง - เพราะอาจมีอาการแทรกซ้อนหลังหาย

 

สรุป

โรคเยื่อบุสมองอักเสบจากไวรัสเริมเป็นโรคที่อันตรายได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที แต่หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งสำคัญคือการสังเกตอาการเตือนภัย และรีบพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติพร้อมกับไข้และคอแข็ง