
"เก๋ ชลลดา" ปวดหัวทรมาน รู้จักโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อไวรัสเริมขึ้นสมอง
"เก๋ ชลลดา" ปวดหัวทรมาน รู้จักโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อไวรัสเริมขึ้นสมอง หมอชี้! อาการเตือนภัย หากเมื่อมีอาการปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติ ต้องรีบหาหมอทันที!
จากข่าว "เก๋ ชลลดา เมฆราตรี" นักแสดงและนางแบบชื่อดัง เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน หลังมีอาการปวดหัวรุนแรงผิดปกติ จนตรวจพบว่าป่วยเป็น "โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningoencephalitis)" ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเริมที่ลุกลามขึ้นสมอง ล่าสุดเจ้าตัวอัปเดตอาการว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องพักรักษาตัวและรับยาฆ่าเชื้ออย่างต่อเนื่อง
ทางด้านคุณ หมอโอ๊ค DoctorSixpack ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับ โรคเยื่อบุสมองอักเสบ (เชื้อไวรัสเริม) - Viral Meningitis
โรคคืออะไร?
- เยื่อบุสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสเริม (Herpes Simplex Viral Meningitis) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus) ซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังเกิดการอักเสบและบวม เยื่อหุ้มสมองคือชั้นเยื่อบางๆ ที่ทำหน้าที่ปกป้องสมองและไขสันหลัง
ไวรัสเริมที่เป็นสาเหตุแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- HSV-1 (Herpes Simplex Virus Type 1)** - มักพบในช่องปากและใบหน้า
- HSV-2 (Herpes Simplex Virus Type 2)** - มักพบในอวัยวะเพศ
- ทั้งสองประเภทสามารถก่อให้เกิดเยื่อบุสมองอักเสบได้ โดย HSV-2 มักพบในผู้ใหญ่มากกว่า
อาการของโรค
อาการหลัก (Classic Triad)
1. ปวดศีรษะรุนแรงมาก - เจ็บปวดที่รุนแรงกว่าไมเกรนปกติ
2. คอแข็ง- ไม่สามารถก้มคอลงได้ คอจะแอ่นไปข้างหลัง
3. ไข้สูง- มักจะขึ้นลงตลอดเวลาแม้รับประทานยาลดไข้
อาการเพิ่มเติม
- คลื่นไส้และอาเจียนรุนแรง
- กลัวแสง (Photophobia)
- ง่วงซึม หรือเฉื่อยชา
- ความจำเสื่อม หรือสับสน
- ชักในบางกรณี
- ผื่นแดงในบางราย
ไวรัสเริมแพร่เชื้อได้หลายทาง
- การสัมผัสโดยตรง - ผ่านการจูบ หรือสัมผัสกับแผลที่ติดเชื้อ
- การมีเพศสัมพันธ์ - โดยเฉพาะ HSV-2
- การคลอดบุตร - แม่ติดเชื้อถ่ายทอดให้ลูก
- การใช้ของส่วนตัวร่วมกัน - แก้วน้ำ ช้อนส้อม ลิปสติก
ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ความเครียดมาก
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- ภาวะก่อนวัยทอง (Premenopause)
- การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
- อายุมากหรือน้อยมาก
ปัจจัยที่ทำให้อาการรุนแรง
- ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
- การใช้ยาลดภูมิคุ้มกัน
- ผู้สูงอายุและเด็กทารก
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1. การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture)
- เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุด
- ตรวจหา DNA ของไวรัสเริมในน้ำไขสันหลัง
- ตรวจนับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เพิ่มขึ้น
2. การตรวจเลือด
- ตรวจหาแอนติบอดี้ของไวรัสเริม
- ตรวจนับเซลล์เม็ดเลือดขาว
- ตรวจหาการอักเสบในร่างกาย
3. การตรวจทางภาพ
- CT Scan หรือ MRI สมอง - เพื่อดูการบวมของสมอง
- EEG - ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อในสมอง
การรักษาด้วยยา
1. ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs)
- Acyclovir - ยาหลักในการรักษา ให้ทางหลอดเลือดดำ
- Valacyclovir
- Famciclovir
2. ยาแก้อาการ
- ยาแก้ปวดและลดไข้ (Paracetamol, NSAIDs)
- ยาลดการอักเสบ (Steroids) ในบางกรณี
- ยาป้องกันชัก หากมีอาการชัก
3. การรักษาพยุงอาการ
- การให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด
- การควบคุมความดันโลหิต
- การดูแลระบบหายใจ
ระยะเวลาการรักษา
- - การรักษาด้วยยาต้านไวรัสนาน 10-14 วัน
- - ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด 2-3 สัปดาห์
- - ฟื้นฟูหลังจากรักษาประมาณ 2-4 สัปดาห์
การดูแลตัวเองและการฟื้นฟูระหว่างป่วย
- - พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
- - ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน
- - หลีกเลี่ยงแสงจ้า
- - รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
- - หลีกเลี่ยงการออกแรงมาก
หลังหายป่วย
- - ออกกำลังกายเบาๆ ตามความสามารถ
- - กลับมาทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- - ติดตามอาการซ้ำ
- - ตรวจสุขภาพตามนัดหมายแพทย์
การป้องกันการติดเชื้อแรก
- - หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีแผลเริม
- - ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน
- - มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
- - รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
- การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
- - หลีกเลี่ยงความเครียด
- - พักผ่อนให้เพียงพอ
- - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดีต่อร่างกาย
- - รับประทานยาต้านไวรัสป้องกัน หากแพทย์แนะนำ
อาการเตือนภัยที่ต้องรีบพบแพทย์
- - ปวดศีรษะรุนแรงมาก ผิดจากเดิม
- - ไข้สูงพร้อมคอแข็ง
- - อาเจียนรุนแรงไม่หยุด
- - ง่วงซึมผิดปกติ
- - ตัวแข็ง หรือชัก
- - มองเห็นภาพซ้อน
- - พูดไม่ชัด หรือสับสน
ข้อมูลสำคัญที่ควรจำ
- - **ไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หาย - หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา
- - การรักษาเร็วช่วยลดภาวะแทรกซ้อน- ยิ่งรักษาเร็วยิ่งดี
- - ไม่ติดต่อทางอากาศ - ต้องสัมผัสโดยตรงจึงจะติด
- - สามารถป้องกันได้- ด้วยการดูแลสุขภาพและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
- - ติดตามอาการต่อเนื่อง - เพราะอาจมีอาการแทรกซ้อนหลังหาย
สรุป
โรคเยื่อบุสมองอักเสบจากไวรัสเริมเป็นโรคที่อันตรายได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที แต่หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งสำคัญคือการสังเกตอาการเตือนภัย และรีบพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติพร้อมกับไข้และคอแข็ง