ไลฟ์สไตล์

'Long COVID' ติดเชื้อจบ แต่ ลองโควิด ไม่จบ เปิด 16 ข้อควรรู้ พบช่วงไหนมากสุด

'Long COVID' ติดเชื้อจบ แต่ ลองโควิด ไม่จบ เปิด 16 ข้อควรรู้ พบช่วงไหนมากสุด

28 ม.ค. 2567

'Long COVID' ติดเชื้อ โควิด-19 จบ แต่ ลองโควิด ไม่จบ เปิดข้อมูล 16 ข้อควรรู้ อาการลองโควิด ส่งผลต่อร่างกายยังไง พบช่วงอายุไหนมากสุด

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เปิดเผยข้อมูล ซึ่งเป็นครั้งแรกของสหรัฐอเมริกาที่ได้มีการนำเสนอข้อมูล ภาวะลองโควิด 'Long COVID' อย่างจริงจังต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐที่อาคารรัฐสภา (คาปิตอลฮิลล์) ที่ดำเนินการสร้างกฎหมายและตัดสินใจเกี่ยวกับการเมืองและนโยบายของประเทศ จัดขึ้นโดยคณะกรรมการด้านสุขภาพ การศึกษา แรงงาน และบำนาญของวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา ดำเนินการโดยวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาและประชาชนสหรัฐได้ตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยของ ลองโควิด โดยมีคำให้การจาก ผู้ป่วยและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ โรคลองโควิด โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยลองโควิดและการลงทุนในด้านการวิจัยขั้นสูงเกี่ยวกับโรคนี้

 

 

ดร.ซิยาด อัล-อาลี นักระบาดวิทยาทางคลินิก เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญนำเสนอข้อมูลลองโควิดต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐที่อาคารรัฐสภา สรุปว่ามหาภัย ลองโควิด รุนแรงกว่า โรคหัวใจและ โรคมะเร็ง ยังไม่มียารักษา วิธีการป้องกันไม่ติดเชื้อ โควิด-19 บ่อยครั้งคือหนทางเดียวที่ป้องกันการเกิดโรคลองโควิด "จะไม่เกิดลองโควิด หากไม่ติดเชื้อโควิด-19"

 

 

ในการนำเสนอครั้งนี้มีทั้งผู้ป่วย ลองโควิด แพทย์แนวหน้าและนักวิจัยจำนวนมากเข้าร่วมให้ความรู้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และทำความเข้าใจกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับโรคลองโควิดแก่บรรดาสมาชิกรัฐสภาและประชาชนสหรัฐไปพร้อมกัน

 

 

การศึกษาล่าสุดพบว่า อาการลองโควิด ทำให้เกิดภาระโรคภัยที่สูงกว่าโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง โดยมีการวิเคราะห์พบว่า ลองโควิด สร้างภาระของความพิการมากกว่าโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง นักวิจัยพบว่าภาวะลองโควิดส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพเกิน 80 ปีที่เทียบกับคุณภาพชีวิตหรือ DALYs ต่อกลุ่มประชากร 1,000 คนที่ไม่เคยเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อในครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีการประเมินว่าผู้ติดเชื้อ โควิด-19 จะสูญเสียสุขภาพไป 21% ในขณะที่มี อาการลองโควิด การศึกษายังพบว่าผู้ที่เป็นลองโควิดอาจมีความพิการทางกายและจิตใจอย่างรุนแรง

 

 

ขณะนี้มีชาวอเมริกันเป็น ลองโควิด แล้วกว่า 20 ล้านคน และกว่า 4 ล้านคนที่ไม่สามารถทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่หน้าได้ ดังนั้น ลองโควิด จึงมีผลกระทบที่สำคัญต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และภาครัฐต้องให้ความสนใจอย่างมาก

 

 

ลองโควิด

 

วิธีป้องกัน 'Long COVID' ที่ดีที่สุดคือป้องกันการ ติดเชื้อโควิด ตั้งแต่แรก เพราะยังไม่มียารักษา "ไม่มีใครเป็นลองโควิดหากไม่ติดเชื้อโควิด-19" ชื่ออย่างเป็นทางการของภาวะลองโควิดในสหรัฐอเมริกาคือ "ภาวะหลังโควิด" (Post-COVID Conditions; PCC) ตามที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH)

 

 

'อาการลองโควิด' เป็นสภาวะที่ซับซ้อน มีผลกระทบต่อหลายอวัยวะ และนำไปสู่อาการทางระบบประสาทและการรับรู้ เช่น ความจำเสื่อม และความบกพร่องทางสติปัญญา นอกจากนี้ยังอาจกระตุ้นปัญหาสุขภาพอื่น เช่น เบาหวานหรือโรคไต โดยรวมแล้ว ลองโควิดเป็นสภาวะที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ

 

 

ภาวะลองโควิด ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงหลังการติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) พบมากกว่า 10% ของผู้ติดเชื้อ โควิด-19 และพบมากกว่า 200 อาการ ส่งผลต่ออวัยวะหลายระบบ ทั่วโลกมีผู้ป่วย อาการลองโควิด ประมาณ 65 ล้านคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ทบทวนวรรณกรรม ค้นคว้า รวบรวม ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และนำมาประมวลเรียบเรียงเป็น 16 หัวข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับ ภาวะลองโควิด  

 

 

ลองโควิด

 

 

1. ความหมายและขอบเขตกลุ่มอาการลองโควิด : อาการลองโควิด หรือที่รู้จักกันในชื่อ ผลระยะยาวของโควิด-19 (post-acute sequelae of COVID-19: PASC) มีลักษณะอาการที่หลากหลายซึ่งคงอยู่หลังจากการติดเชื้อ โควิด-19 อย่างเฉียบพลัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบ

 

การปรับปรุง : เพิ่มความตระหนักรู้และความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับอาการที่หลากหลายของ ลองโควิด เพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการยอมรับและสนับสนุนด้านกันรักษาอย่างทันท่วงที

 

 

2. ความชุกและผลกระทบ : ลองโควิด ส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างน้อย 65 ล้านคนทั่วโลก จากการบันทึกข้อมูลทางคลินิกที่ถูกบันทึกไว้จากผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 651 ล้านคน พบอัตราการอุบัติการณ์โดยประมาณที่ 10% ซึ่งส่งผลกระทบด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างมีนัยสำคัญ

 

การป้องกัน : ดำเนินโครงการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางและวางมาตรการด้านสาธารณสุขอื่นๆ เช่น ล้างมือ  กินร้อน ช้อนกลาง เว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัยเพื่อช่วยลดการติดเชื้อโควิด-19 และผลที่ตามมาจากกลุ่มอาการลองโควิด

 

 

3. ความสัมพันธ์ระหว่างอายุและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล : กลุ่ม อาการลองโควิด พบมากในช่วงอายุระหว่าง 36 ถึง 50 ปี เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน อันรวมถึงอัตราการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น ความรับผิดชอบในการประกอบอาชีพ กิจกรรมทางสังคม และลักษณะการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับอายุบางประการ โดยพบว่า 10-30% ของผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในโรงพยาบาล และ 50-70% ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะมีอาการป่วยเป็นลองโควิด

 

แนวทางแก้ไข : กำหนดมาตรการแทรกแซงการระบาดและสร้างความตระหนักรู้ด้านอาชีวอนามัยเน้นที่กลุ่มเสี่ยงอายุ 36-50 ปี เพื่อลดการสัมผัสจากสารคัดหลั่งจาก ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้น้อยที่สุด และส่งเสริมมาตรการที่ไม่ใช้ยาและวัคซีน เช่น ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง เว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัย ร่วมกับการระดมฉีดวัคซีน ให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่เนิ่นๆเมื่ออาการเริ่มส่อรุนแรง หรือเป็นกลุ่มเปราะบาง

 

 

4. ความซับซ้อนและความรุนแรงของกลุ่มอาการลองโควิด : กลุ่มคนที่พบ อาการลองโควิด มีรายงานอาการที่หลากหลายในระบบอวัยวะต่างๆ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำให้การดูแลรักษามีความซับซ้อน 

 

การปรับปรุง : ส่งเสริมการดำเนินการในรูปแบบสหคลินิกมีแพทย์ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องลองโควิดให้การดูแลและการจัดการอาการต่างๆอย่างครอบคลุมซึ่งปรับให้เหมาะกับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย

 

 

5. เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอาการลองโควิด : อาการลองโควิด มีความเชื่อมโยงกับสภาวะอาการที่พบใหม่หลายอาการ เช่นโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวานประเภท 2, อาการปวดกล้ามเนื้อจากสมองและไขสันหลังอักเสบ (myalgic encephalomyelitis, ME), อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS) และภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงระบบที่กว้างขวาง

 

การป้องกัน : เสริมสร้างการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจกลไกการเกิดโรคของสภาวะเหล่านี้ และพัฒนากลยุทธ์การป้องกันแบบกำหนดเป้าหมายสำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยง

 

 

ลองโควิด

 

 

6. หาสาเหตุเพื่อตั้งสมมุติฐานการเกิดโรค : มีการพูดคุยถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ต่างๆ เช่น รังโรคของไวรัส การควบคุมภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ และการเปลี่ยนแปลงของจำนวนและชนิดของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ซับซ้อนที่มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการลองโควิด

 

การปรับปรุง : ลงทุนในการวิจัยเพื่อเข้าใจกลไกพื้นฐานของกลุ่ม อาการลองโควิด เพื่อปูทางไปสู่วิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพ

 

 

7. ข้อมูลเชิงลึกด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและไวรัสวิทยา : การศึกษาวิจัยเชิงลึกได้เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการตอบสนองทั้งทางภูมิคุ้มกันและไวรัสวิทยา ซึ่งรวมถึงความอ่อนล้าของทีเซลล์ ระดับไซโตไคน์ที่เพิ่มขึ้น และการเกิดขึ้นของแอนติบอดีต่อร่างกายตนเอง ซึ่งแสดงให้เห็นผลกระทบที่ซับซ้อนและยาวนานต่อระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ การค้นพบทางไวรัสวิทยายังเน้นย้ำถึงบทบาทของการติดเชื้อแฝงอยู่ในร่างกาย (viral persistence) และกลายพันธุ์ของไวรัสที่ส่งผลต่อพยาธิวิทยาการเกิดอาการลองโควิด

 

แนวทางแก้ไข : กำหนดการบำบัดเพื่อปรับภูมิคุ้มกันและกลยุทธ์การรักษาเฉพาะบุคคลโดยพิจารณาโปรไฟล์การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล ขณะเดียวกันก็ผสมผสานข้อมูลเชิงลึกด้านไวรัสวิทยาเพื่อกำหนดเป้าหมายส่วนประกอบของไวรัสที่ทำให้เกิดโรคลองโควิด

 

 

8. ความเสียหายของอวัยวะและปัญหาทางระบบของร่างกาย : อาการลองโควิด นำไปสู่ความเสียหายของอวัยวะในวงกว้าง รวมถึงหัวใจ ปอด และสมอง เกิดปัญหาต่อระบบต่างๆของร่างกาย เช่น การเกิดลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ทำให้เกิดปัญหาซับซ้อนในระบบโลหิตของร่างกาย

 

การปรับปรุง : ติดตามและการแทรกแซงอาการดังกล่าวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดความเสียหายของอวัยวะ เช่น หัวใจ ปอด และสมองและพยายามแก้ไขปัญหาเชิงระบบในเชิงรุก

 

 

9. ผลกระทบของระบบประสาทและการรับรู้ : อาการลองโควิด ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการรับรู้ โดยแสดงออกมาในรูปแบบของการสูญเสียความทรงจำ ความบกพร่องทางสติปัญญา และการรบกวนทางประสาทสัมผัส ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตประจำวัน

 

การป้องกัน : จัดทำโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพทางปัญญาและบริการสนับสนุนเพื่อช่วยในการฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของบุคคลที่ได้รับผลกระทบ

 

 

10. ME/CFS, Dysautonomia และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอาการลองโควิด : สังเกตพบความคล้ายคลึงกันระหว่างอาการปวดกล้ามเนื้ออันมีสาเหตุมาจากสมองและไขสันหลังอักเสบ (myalgic encephalomyelitis, ME) และอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS), ภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) กับอาการลองโควิด เช่น กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วระหว่างเปลี่ยนท่า (Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome: POTS) หรือกลุ่มอาการการกระตุ้นเซลล์แมสต์ (mast cell activation syndrome) อันเป็นภาวะที่เซลล์แมสต์ปล่อยสารเคมีมากเกินไป ทำให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย รวมถึงอาการแพ้ต่างๆ เซลล์เหล่านี้สามารถถูกกระตุ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น การติดเชื้อ ยา ความเครียด และอาหาร ทำให้มีความจำเป็นในการวินิจฉัยโรคที่ควรครอบคลุมประวัติทางคลินิก การตรวจร่างกาย และการทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะ โดยทั่วไปการรักษาจะใช้ยา เช่น ยาแก้แพ้และยาเพิ่มความเสถียรของเซลล์แมสต์

 

การปรับปรุง : ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มอาการ ME/CFS, ภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์และแพทย์ผู้รักษาโรคลองโควิดเพื่อแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและพัฒนาแนวทางการรักษาแบบองค์รวม

 

 

ลองโควิด

 

 

11. ผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ : ลองโควิด ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ ส่งผลให้ประจำเดือนเปลี่ยนแปลง และส่งผลต่อการทำงานของรังไข่และลูกอัณฑะ บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการวิจัยและการดูแลเฉพาะทาง

 

วิธีแก้ไข : ดำเนินการวิจัยแบบกำหนดเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ของอาการลองโควิด และให้บริการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสม

 

 

12. ผลกระทบต่อเด็ก : เด็กได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากอาการลองโควิด โดยมีอาการและความเสี่ยงด้านสุขภาพที่รุนแรงคล้ายผู้ใหญ่ กระตุ้นให้มีการวิจัยแบบกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์การดูแลสุขภาพสำหรับกลุ่มเปราะบางนี้

 

การป้องกัน : จัดลำดับความสำคัญของการวิจัยในเด็กเกี่ยวกับโรคลองโควิด พัฒนาวิธีปฏิบัติในการรักษาที่เป็นมิตรต่อเด็ก และจัดให้มีระบบช่วยเหลือสำหรับเด็กที่ได้รับผลกระทบและครอบครัวของเด็ก

 

 

13. ระยะเวลาการดำเนินของโรคและภาวะลุกลามของอาการ : อาการเริ่มแรก ช่วงระยะเวลาการดำเนินของโรค และการลุกลามของอาการของลองโควิดนั้นแตกต่างกันอย่างมาก 

 

การเริ่มมีอาการ(onset) : ช่วงเวลานี้อาจมีตั้งแต่หลายวันจนถึงหลายสัปดาห์หลังการติดเชื้อ

 

ระยะเวลาการดำเนินของโรค (duration) : ระยะเวลาที่แต่ละบุคคลประสบกับอาการลองโควิดมีความผันแปรสูง บางคนพบว่าอาการค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์หรือยาวเป็นเดือน ในขณะที่บางคนอาจมีอาการต่อเนื่องนานหลายเดือนหรือนานกว่าหนึ่งปี

 

การลุกลาม(progression) : บางคนมี อาการลองโควิด คงที่ บางคนเป็นๆ หายๆ บางรายอาจมีอาการดีขึ้นในระยะๆ ตามด้วยการกำเริบของโรค (มักเรียกว่ารูปแบบ 'รถไฟเหาะตีลังกา') และบางคนอาจสังเกตเห็นการอาการค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

 

การปรับปรุง : ใช้การลงทะเบียนผู้ป่วยและการศึกษาระยะยาวเพื่อจัดทำแผนผังความก้าวหน้าของอาการ และแจ้งแผนการรักษาและการให้คำปรึกษาเชิงพยากรณ์ ความผันแปรของเวลาการดำเนินโรคและการลุกลามของอาการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางการรักษาและการช่วยเหลือผู้ป่วยแบบเฉพาะบุคคล

 

 

14. เครื่องมือวินิจฉัยและการรักษา : การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยและกลยุทธ์การรักษาเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาที่ได้รับการตรวจสอบ มีประสิทธิผล และเครื่องมือวินิจฉัยที่ครอบคลุม

 

ทางแก้ไข : เร่งการพัฒนาและการตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือวินิจฉัย ตัวชี้วัดทางชีวภาพ และการรักษาที่มีประสิทธิผล ผ่านการระดมทุนที่เพิ่มขึ้นและความพยายามในการวิจัยร่วมกัน

 

 

15. ผลกระทบของวัคซีน สายพันธุ์ของโควิด-19 และการติดเชื้อซ้ำ : การวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับผลกระทบของวัคซีน, SARS-CoV-2 สายพันธุ์ต่างๆ และการติดเชื้อซ้ำต่ออุบัติการณ์และการลุกลามของอาการลองโควิด:

 

ผลกระทบของการฉีดวัคซีนต่ออุบัติการณ์ของโรคลองโควิด

 

  • ผลกระทบของการฉีดวัคซีนต่อการพัฒนาของลองโควิดนั้นแตกต่างกันไปตามการศึกษาต่างๆ โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการศึกษา เวลาที่ผ่านไปนับตั้งแต่การฉีดวัคซีน และคำจำกัดความเฉพาะของกลุ่มอาการลองโควิดที่ใช้
  • การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในการพัฒนาการเกิดลองโควิดระหว่างบุคคลที่ฉีดวัคซีนและไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
  • หลายการศึกษาแนะนำว่าวัคซีนให้การป้องกันอาการลองโควิดได้ในระดับหนึ่ง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการลองโควิดได้ 15% ถึง 41% แม้จะป้องกันอาการลองโควิดได้บางส่วน แต่เรายังพบลองโควิดส่งผลกระทบต่อผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ถึง 9%

 

อิทธิพลของเชื้อ SARS-CoV-2 และระดับการฉีดวัคซีน

 

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักรตั้งข้อสังเกตว่าโรคลองโควิดนั้นแพร่หลายน้อยกว่า 50% ในผู้ที่ฉีดวัคซีนสองครั้งและต่อมาติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ ดั้งเดิม BA.1 (breakthrough infection) เมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า อย่างไรก็ตาม ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนสามครั้ง
  • พบอาการลองโควิดในผู้ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 มากกว่า BA.1 โดยทั้งหมดได้รับการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม  ผู้ติดเชื้อโอมิครอน BA.2 พัฒนาเป็นลองโควิดถึง 9.3%

 

ผลกระทบของการฉีดวัคซีนต่ออาการลองโควิดที่เป็นอยู่เดิม

 

  • อิทธิพลของการฉีดวัคซีนต่ออาการของบุคคลที่เป็นโรคลองโควิดมานานก่อนหน้าจะแตกต่างกันไป บุคคลเหล่านี้ประมาณ 16.7% มีอาการบรรเทาขึ้น ในขณะที่ 21.4% มีอาการแย่ลง ส่วนคนอื่นๆ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของอาการ

 

ผลกระทบของการติดเชื้อซ้ำ

 

  • การติดเชื้อซ้ำด้วยโควิด-19 กำลังกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น การทำความเข้าใจผลกระทบของการติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำหลายครั้งถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของโรคลองโควิดหลังการติดเชื้อซ้ำครั้งที่สองหรือสาม และผลกระทบของการติดเชื้อซ้ำต่อบุคคลที่เป็นโรคลองโควิดอยู่แล้ว
  • การวิจัยเบื้องต้นบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของอาการลองโควิดแม้แต่ในบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนสองหรือสามเข็มแล้วก็ตาม มีหลักฐานว่าการติดเชื้อซ้ำหลายครั้งอาจก่อให้เกิดอันตรายเพิ่มเติมหรือเพิ่มความอ่อนไหวต่อการเกิดลองโควิดประเภท ME/CFS
  • มีหลักฐานเบื้องต้นที่บ่งชี้ว่าการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันบางอย่างในผู้ที่เป็นโรคลองโควิดเป็นเวลานานจะทำให้ระดับแอนติบอดีในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 มีระดับต่ำลงและมีระดับแอนติบอดีต่อร่างกายตนเองที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อซ้ำ

 

การป้องกัน : ปรับเปลี่ยนและอัปเดตกลยุทธ์การฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์ใหม่ และข้อมูลใหม่ของการติดเชื้อซ้ำ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เพื่อลดความเสี่ยงและความรุนแรงของการเกิดอาการลองโควิด

 

 

16. ความท้าทายและข้อเสนอแนะ : ภาครัฐและเอกชนทั่วโลกต้องร่วมสนับสนุนการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยทางคลินิกอย่างเข้มแข็งเพื่อจัดการกับปัญหาด้านสาธารณสุขที่กำลังเกิดขึ้นนี้จากปัญหาลองโควิด

 

การปรับปรุง : ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทางด้านสาธารณสุขวางต้องร่วมกันวางนโยบายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ในด้านการสนับสนุนการวิจัยที่เกี่ยวกับลองโควิด การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพ และระบบการสนับสนุนทางสังคม เพื่อจัดการกับความท้าทายหลายแง่มุมที่เกิดจากภาวะลองโควิด