Lifestyle

'ต้อหิน' ตรวจพบก่อนรักษาทัน ป้องกันตาบอดได้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

หากเกิดอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับดวงตาหรือการมองเห็น เช่น ปวดตาทันทีทันใด ตาพร่ามัว มองเห็นแสงไฟเป็นสีรุ้ง คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที เพราะคุณอาจกำลังถูกโรค 'ต้อหิน' เล่นงาน

ดวงตา เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของร่างกาย ช่วยให้เราสามารถมองเห็นโลกรอบตัวได้อย่างชัดเจน ดังนั้น เราจึงควรดูแลเอาใจใส่ดวงตาอยู่เสมอ แต่หากเกิดอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับดวงตาหรือการมองเห็น เช่น ปวดตาทันทีทันใด ตาพร่ามัว มองเห็นแสงไฟเป็นสีรุ้ง คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที เพราะคุณอาจกำลังถูกโรค ต้อหิน เล่นงาน

 

พญ.กนกวรรณ ยุตติธรรม

 

ผู้ป่วยอาจยังไม่รู้ตัวว่าเป็น “ต้อหิน” จนกว่าจะมีอาการของโรครุนแรง ซึ่งนั้นอาจจะช้าเกินไปสำหรับการรักษาและเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น โดย พญ.กนกวรรณ ยุตติธรรม แพทย์ผู้ชำนาญการโรคต้อหิน โรงพยาบาลรามคำแหง อธิบายว่า “ต้อหิน” จัดเป็นภัยเงียบเนื่องจากในระยะแรกจะไม่มีอาการใดๆ ถ้าไม่ตรวจก็ไม่สามารถรู้ได้ เป็นโรคที่มีการเสื่อมของเส้นประสาทตา ทำให้มีความบกพร่องในการส่งสัญญาณภาพ เมื่อส่งสัญญาณภาพไม่ได้ก็จะส่งผลทำให้สูญเสียการมองเห็นไป โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคต้อหินมักจะมีความดันลูกตาสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการทำลายของเส้นประสาทตา

 

 

อาการของ โรคต้อหิน ในระยะแรกจะไม่มีอาการใดๆ ต่อมาเมื่อประสาทตาถูกทำลายไปมากกว่า 40% ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการสูญเสียการมองเห็น โดยลานสายตาจะแคบลงเรื่อยๆ และถ้าไม่ได้รับการรักษาเส้นประสาทตาก็จะสูญเสียไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งมองไม่เห็นในที่สุด

 

จะรู้ได้ยังไง? ว่าเป็น โรคต้อหิน

 

การตรวจผู้ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยด้วยโรคนี้ อย่างแรกคือ

  • การตรวจวัดความดันตา ซึ่งแพทย์จะส่องดูลักษณะในดวงตาว่ามีกรณีใดที่เข้าได้กับต้อหินบ้าง เช่น ลักษณะขั้วประสาทตาที่ใหญ่กว่าปกติ เพราะเส้นประสาทถูกกดเบียดหรือถูกทำลายหายไป
  • การตรวจเพิ่มเติมด้วยเครื่องมือพิเศษเพื่อตรวจ “ลานสายตา” ซึ่งเป็นการหาจุดบอดที่เส้นประสาทจุดนั้นตรงนั้นว่าทำงานหรือไม่?
  • การสแกนขั้วประสาทตา หรือ OCT เป็นการใช้อินฟราเรดเลเซอร์ยิงเข้าไปวัดความหนาของเส้นประสาท หรือไปดูเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น ว่ายังสมบูรณ์ดีหรือไม่ จากนั้นจึงนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผลรวมกันแล้วสรุปว่าผู้ป่วยเป็นโรคต้อหินหรือไม่

 

'ต้อหิน' ตรวจพบก่อนรักษาทัน ป้องกันตาบอดได้

 

ใครบ้าง?... ที่เสี่ยงเป็น โรคต้อหิน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน

  • ผู้ที่มีระดับความดันตาค่อนข้างสูง โดยสูงมากกว่า 21 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป
  • อายุที่มากขึ้น
  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคต้อหิน
  • เคยเกิดอุบัติเหตุที่ตาหรือเคยได้รับการผ่าตัดตา
  • มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีกระจกตาบางกว่าปกติ

 

ทั้งนี้สามารถพบผู้ป่วยโรคนี้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ กลุ่มที่พบมากที่สุดคือผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป นอกจากนี้คนที่สายตาสั้นหรือยาวมากๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค ต้อหิน ได้ในอนาคต

 

 

โรคต้อหิน รักษาได้อย่างไรบ้าง?

 

การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ความดันตาลดลง เป็นการป้องกันและยับยั้งการสูญเสียเส้นประสาทตาจาก โรคต้อหิน เนื่องจากเส้นประสาทตาส่วนที่เสียไปแล้วจะไม่สามารถกลับคืนมาได้ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้ยาหยอดตา การทำเลเซอร์ และการผ่าตัด โดยอาจเริ่มจากการใช้ยาที่เป็นประเภทยาหยอดตา ส่วนการใช้เลเซอร์สามารถใช้ร่วมกับยาได้เพื่อช่วยประคับประคองเส้นประสาทตาไม่ให้ถูกกดทับ ส่วนการผ่าตัดจะใช้ในกรณีที่ยาและเลเซอร์ไม่สามารถควบคุมความดันตาได้จึงต้องผ่าตัดเพื่อลดความดันตาให้ต่ำลง โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน

 

'ต้อหิน' ตรวจพบก่อนรักษาทัน ป้องกันตาบอดได้

 

** แนะนำว่าผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีความเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้น ควรได้รับการตรวจคัดกรองความดันตาและตรวจขั้วประสาทตา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และอาจตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับ ดวงตา จะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที

 

ต้อหิน มีความอันตรายต่อดวงตาของเรามาก หากไม่ดูแลรักษาสุขภาพดวงตาให้ดี ก็อาจทำให้เสี่ยงสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ นอกการตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำแล้ว การกินอาหารที่มีประโยชน์มีวิตามินอี เอ และวิตามินซี บำรุงสายตา และหลีกเลี่ยงการมองแสงแดดจ้า สวมแว่นกันแดดป้องกันแสงยูวี ก็ถือเป็นการป้องกันดวงตาที่ดี ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถใช้งานดวงตาได้ยาวนานมากขึ้น

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ