'โรคอ้วน' เหตุเสี่ยงสูง มะเร็งเต้านม - มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
รูปร่างที่เปลี่ยนไปของผู้หญิงยังมีข้อบ่งชี้ที่เกี่ยวกับ 'โรคอ้วน' อย่างมีนัยสำคัญ หลายการศึกษาระบุถึงรูปร่างผู้หญิงอ้วน ซึ่งสัมพันธ์กับความผิดปกติของฮอร์โมน และโรคทางนรีเวช
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หรือมะเร็งมดลูกเป็นโรคมะเร็งในผู้หญิงที่พบมากเป็นอันดับ 3 ในปัจจุบัน รองจากมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก มีข้อมูลพบว่าผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือนจะมีโอกาสเป็นมะเร็งชนิดนี้ได้สูงขึ้น แต่บ่อยครั้งที่พบในผู้หญิงอายุ 30 - 45 ปี ที่มีความผิดปกติของฮอร์โมนและมีน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน
พญ.ธิศรา วีรสมัย สูตินรีแพทย์ หัวหน้าศูนย์สุขภาพสตรีและหัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลพญาไท 1 กล่าวว่า เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน จะทำให้ร่างกายมีไขมันสะสมในปริมาณที่มากกว่าปกติ จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การวินิจฉัยที่ให้ผลเที่ยงตรงว่าเป็นโรคอ้วนหรือไม่นั้นทำได้ด้วยการวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายด้วยเครื่อง DEXA scan โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่เบื้องต้นก็สามารถประเมินด้วยการวัดดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในร่างกายได้ ซึ่งในคนเอเชีย ถ้ามีค่า BMI เกินกว่า 23 ขึ้นไปก็จะถือว่าน้ำหนักเกิน และหากค่าตั้งแต่ 25 ขึ้นไปก็จัดว่าเป็นโรคอ้วน และมีความเสี่ยงด้านสุขภาพมากขึ้น เพราะโรคอ้วน ไม่เพียงแต่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่ยังพบว่าเป็นสาเหตุร่วมในโรคทางนรีเวช รวมถึงโรคมะเร็งอีกด้วย
นอกจากนี้ รูปร่างที่เปลี่ยนไปของผู้หญิงยังมีข้อบ่งชี้ที่เกี่ยวกับโรคอ้วนอย่างมีนัยสำคัญ หลายการศึกษาระบุถึงรูปร่างผู้หญิงอ้วน ซึ่งสัมพันธ์กับความผิดปกติของฮอร์โมนและโรคทางนรีเวช โดยพบว่าผู้หญิงรูปร่างทรง “ลูกแพร์” จะมีไขมัน สะสมบริเวณสะโพกและต้นขามาก และมักมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในสัดส่วนที่สูง หลายคนมีปัญหาประจำเดือนไม่ปกติ หรือมีอาการผิดปกติที่เกิดในช่วงก่อนมีประจำเดือน เช่น ตัวบวม หน้าบวม หงุดหงิดง่าย ปวดศีรษะ เป็นต้น
ส่วนผู้หญิงรูปร่างทรง “แอปเปิ้ล” หรืออ้วนลงพุง มักจะมีลักษณะอาการของกลุ่มเมตาบอลิก เนื่องจากไขมันที่สะสมอยู่รอบอวัยวะในช่องท้อง มีผลทำให้ระบบการเผาผลาญผิดปกติ อาจส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน โรคความดัน โลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร European Heart Journal พบว่าผู้หญิงที่มีรูปร่างทรง “แอปเปิ้ล” มีความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าทรง “ลูกแพร์” ถึง 3 เท่า และอาจมีปัญหาประจำเดือนไม่ปกติ มีลักษณะหน้ามัน เป็นสิว ผมร่วง หรือกลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ และมีโอกาสที่จะมีบุตรยากร่วมด้วย
โรคอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งทางนรีเวช เช่น มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งเป็นผลมาจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจน และเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนหลักของผู้หญิงที่สร้างจากรังไข่จะหมดไป แต่ยังมีการผลิตฮอร์โมนนี้จากเซลล์ที่เนื้อเยื่อไขมัน ในผู้หญิงที่อ้วนจึงมีแหล่งเอสโตรเจนจากเนื้อเยื่อไขมันมาก มีหลายการศึกษาพบว่า ปัญหามะเร็งที่มีความไวต่อฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า เพราะ 80% ของการเกิดมะเร็งเต้านมพบว่า สัมพันธ์กับการกระตุ้นจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ขณะที่ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะเพิ่มขึ้น 2 - 4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้หญิงน้ำหนักปกติ
“บ่อยครั้งที่พบว่า คนไข้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีปัญหาเรื่องฮอร์โมนไม่ปกติตั้งแต่ก่อนประจำเดือนจะหมด หลายรายมองข้าม เรื่องเหล่านี้ไป ไม่ได้ดูแลควบคุม และพบว่าเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุยังน้อย การสะสมของไขมันที่มีมากซึ่งเป็นอีกแหล่งที่ให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งจะกระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูกให้หนาตัวผิดปกติ และพัฒนาเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โดยเริ่มจากอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด” พญ.ธิศรา กล่าว
พญ.ธิศรา ทิ้งท้ายว่า ปัญหาของการลดน้ำหนักที่ไม่ได้ผล ส่วนใหญ่เกิดจากการไม่สามารถค้นพบสาเหตุที่แฝงอยู่ในความอ้วนนั้น ซึ่งการวินิจฉัยและรักษาโดยศาสตร์การแพทย์เฉพาะเจาะจง จะทำให้ค้นพบปัญหา และวางแผนการรักษาได้ตรงจุดอย่างได้ผล ได้แก่ การตรวจไขมันสะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วย DEXA scan การตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติ การตรวจยีนที่สามารถจะบอกถึงรูปแบบอาหารที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพและการควบคุมน้ำหนัก การเผาผลาญ ความไวต่ออาหาร หรือความสามารถในการขจัดสารพิษ แนวโน้มการขาดวิตามิน รวมถึงการออกกำลังกายที่เหมาะสมและส่งผลให้ควบคุมน้ำหนักได้
ทุกคนควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันมากขึ้น ไม่ควรให้เจ็บป่วยแล้วจึงมาพบแพทย์ เพราะการมีสุขภาพที่ดี ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง แต่ส่งผลถึงภาพลักษณ์ ผิวพรรณ และรูปร่างที่ดีตามมาเมื่อดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอจะพบว่า สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาความอ้วนที่แฝงอยู่ในร่างกายได้ตั้งแต่ในช่วงเริ่มแรก ทั้งที่มองเห็นภายนอกและซ่อนอยู่ในรูปแบบอ้วนลงพุง เป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้ายแรงและโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่จะตามมาอีกมากมาย ความอ้วนไม่ใช่ปัญหาของรูปร่าง แต่เป็นโรคที่มีข้อมูลทางการแพทย์บ่งถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว ประเมินตัวเองตั้งแต่วันนี้ ถ้าพบว่าเริ่มอ้วน เริ่มลงพุง มีน้ำหนักเกิน ควรรีบควบคุม ลดน้ำหนัก หรือปรึกษาแพทย์ อย่าปล่อยให้ความอ้วนลุกลามจนเป็นโรคได้ในที่สุด