Lifestyle

เลือดในอุจจาระ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

การตรวจหาเลือดในอุจจาระ เป็นประโยชน์สำหรับแพทย์ ในการที่จะหาสาเหตุของภาวะที่มีเลือดออกในทางเดินอาหาร ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น เนื้องอกของทางเดินอาหาร ซึ่งพบว่า 2-10% เป็นมะเร็ง และ 20-30% เป็นติ่งเนื้องอก หรือมีแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็

ภาวะของโรคเหล่านี้ สามารถตรวจพบได้ในคนที่ไม่มีอาการ หรืออาการแสดงใดเลยก็ได้ แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจอุจจาระในห้องปฏิบัติการ 
 การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (Stool occult blood test) มีด้วยกันหลายวิธี
 วิธีที่มีความแม่นยำที่สุด คือ ใช้ชุดตรวจชื่อ one step occult  blood test device ซึ่งมีตัวจับเฉพาะเลือดของผู้ตรวจเองเท่านั้น นั่นหมายความว่า ถ้าเรารับประทานอาหารที่มีเลือดสัตว์เป็นส่วนประกอบ จะไม่มีผลต่อการตรวจ ดังนั้น ถ้าผลการตรวจพบว่า มีเลือดปนมากับอุจจาระ แสดงว่า ผู้ตรวจอาจจะมีภาวะเลือดออกซ่อนเร้นในทางเดินอาหารได้  ผู้ป่วยที่ตรวจพบติ่งเนื้องอก และได้ตัดติ่งเนื้องอกด้วยวิธีการส่องกล้อง สามารถลดอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งได้  76-90%
 ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับถึงประโยชน์ของการตรวจหาเลือดในอุจจาระนี้ ในแง่ที่สามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และองค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้มีการตรวจหาเลือดในอุจจาระทุกปี สำหรับประชาชนทั่วไปที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และถ้าพบว่า มีเลือดในอุจจาระ ควรส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อค้นหาโรค เป็นการป้องกันไม่ให้โรคลุกลามมากขึ้น เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาเมื่อเกิดโรคอีกทางหนึ่ง
 การตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ ในระยะเริ่มต้น สามารถลดอุบัติการณ์เกิดมะเร็งและลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็ง
 ผู้ที่ควรตรวจลำไส้ใหญ่ แบ่งเป็น 3 ระดับ ตามอัตราความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง
 1. ความเสี่ยงโดยเฉลี่ย ได้แก่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
 2. ความเสี่ยงมากกว่าปกติ ได้แก่ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ในญาติสายตรงที่อายุ 60 ปี หรือน้อยกว่า มีประวัติเป็นติ่งเนื้องอก หรือมะเร็งลำไส้
 3. ความเสี่ยงสูง มีความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด ซึ่งพบว่า ญาติผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงมาก หรือมีประวัติเป็นโรคลำไส้อักเสบชนิด Inflammatory Bowel Disease
 การตรวจลำไส้ ในผู้ที่มีความเสี่ยงปานกลาง
 1. การตรวจอุจจาระโดยการตรวจหาเลือดในอุจจาระ ควรทำเป็นประจำทุกปี
 2. การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ควรทำทุก 5 ปี
 3. การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ร่วมกับการตรวจอุจจาระทุกปี
 4. สวนแป้งตรวจลำไส้ใหญ่ทางรังสีทำทุก 5 ปี
 5. ส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมด ควรทำทุก 10 ปี ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงปานกลาง
 โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม 0-5392-0300

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ