5 วิธีลด 'รอยดำจากสิว' หายเร็ว อย่างเป็นธรรมชาติ
'รอยดำจากสิว' แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง แต่อาจจะทำให้เกิดความเครียด ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจได้เช่นกัน
สิว ตุ่มเล็กๆ บนใบหน้า แต่เป็นปัญหาใหญ่รบกวนจิตใจที่ต้องรีบรักษาให้หาย แต่เมื่อสิวหายแล้ว หลายๆ คนอาจชะล่าใจและละเลยการดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี ซึ่งในความเป็นจริงวงจรปัญหาผิวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ รอยดำจากสิว เป็นปัญหาที่เกิดตามมา แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง แต่อาจเกิดความเครียดซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ วันนี้ คมชัดลึก จะพาไปดูกันว่า รอยดำจากสิวเกิดจากอะไร หากเป็นแล้วควรรักษาอย่างไร
รอยดำจากสิว เกิดจากการอักเสบที่ใต้ชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เป็น สิว โดยร่างกายจะมีการหลั่งสารอักเสบออกมาที่ใต้ผิวหนัง ส่งผลให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินเป็นจำนวนมากในบริเวณที่เกิดการอักเสบ เกิดเป็นรอยดำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้พฤติกรรมการแกะสิว บีบสิว ก็อาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นสิวเกิดการบวมแดงและอักเสบมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดรอยสิวหรือรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยากขึ้น
โดยลักษณะความเข้มและสีของรอยดำจาก สิว จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการอักเสบ ยิ่งอักเสบมาก รอยดำจากสิว ก็ยิ่งเข้มและหายช้า ซึ่งโดยปกติสีของรอยสิวจะค่อยๆ จางลงได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือน หรือมากกว่านั้น การลดรักษารอยดำจากสิวจึงควรได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและถูกวิธี ภายหลังจากการอักเสบของสิว
รอยดำจากสิว มีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน ทำให้มีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งระยะเวลาการลดรอยดำจากสิวนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความเข้มของรอยสิวที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้
1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถือเป็นการช่วยลดรอยดำจากสิวที่เริ่มต้นได้ง่ายๆ โดยอาจเลือกกินผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากช่วยลดการอักเสบของสิวแล้วยังช่วยลดรอยดำจากสิวได้เช่นกัน
2.หลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือบีบสิว
ในขณะที่เราเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือบีบสิว เพราะพฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนังมากขึ้น หรือทำให้สิวอักเสบกระจายไปบริเวณอื่นจนทำให้เกิดรอยสิวเยอะมากขึ้น ซึ่งหากเลี่ยงได้นอกจากช่วยลดการอักเสบแล้ว ยังช่วยให้การลดรอยดำจากสิวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3.หลีกเลี่ยงแสงแดด
แสงแดดถือเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นให้รอยดำจากสิวเข้มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้สีผิวบริเวณนั้นไม่สม่ำเสมอด้วย แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 11.00-15.00 น. และทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและยังลดรอยดำและจุดด่างดำจากสิวได้ด้วย
4.ทรีตเม้นต์หรือเลเซอร์ลดจุดด่างดำและรอยสิว
การรักษารอยดำจากสิวหรือหลุมสิวด้วยการทำทรีตเม้นต์หน้าหรือเลเซอร์ลดรอยสิว เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่มีปัญหานี้เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว เพียงแต่ต้องเพิ่มการดูแลผิวอีกหลายขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจและสามารถวัดผลได้จริง โดยการทำทรีตเม้นต์หน้าที่ช่วยในการรักษารอยสิวที่นิยม ได้แก่
- การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ : การใช้กรด AHA เข้ามาช่วยเป็นตัวกระตุ้นในการผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้เซลล์ผิวชั้นในสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ช่วยให้จุดด่างดำหรือรอยสิวต่างๆ ดูจางลง
- การทำเลเซอร์ : การรักษาด้วยเลเซอร์จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อมีปัญหารอยหลุมสิว ต้องการลดรอยแผลสิวหรือรอยดำจากสิวที่มีขนาดใหญ่และฝังลึกที่จัดการได้ยาก การเลเซอร์จะเป็นลักษณะของคลื่นพลังงานเข้มข้นที่เข้าไปทำลายเซลล์ผิวบริเวณหลุมสิว เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยหลุมสิวดูตื้นขึ้น การรักษาด้วยแนวทางนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและควรดูแลผิวหน้าภายหลังการรักษา โดยไม่ควรทำอย่างต่อเนื่องเพราะอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง แพ้ง่าย ไวต่อแดด
5.ผลิตภัณฑ์ช่วยรักษารอยดำจากสิว
การอักเสบของสิวทำให้เกิดปัญหารอยดำจากสิวอักเสบตามมา อีกหนึ่งวิธีการจัดการปัญหารอยสิวที่ง่ายและสะดวก คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลปัญหารอยสิวที่มีประสิทธิภาพ ลดการเกิดสิวซ้ำซาก และเพิ่มความกระจ่างใส
ดังนั้น เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาสิวอักเสบและปัญหา รอยดำจากสิว ควรใส่ใจดูแลผิวหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ และเมื่อเป็น สิว ควรรีบดูแลทันที อย่าปล่อยปัญหาทิ้งไว้เป็นเวลานาน เพราะจะทำให้รอยสิวมีสีเข้มขึ้นจนดูแลได้ยาก ซึ่งอีกหนึ่งวิธีลดรอยดำจากสิวที่สามารถทำได้คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดรอยดำและป้องกันการเกิดรอยดำจากสิวได้อย่างตรงจุด พร้อมปรับสภาพผิวให้สว่างกระจ่างใส เรียกว่าตอบโจทย์การดูแลผิวได้อย่างแท้จริง