ไลฟ์สไตล์

เรื่องเล่า...จากอุทัยธานี

เรื่องเล่า...จากอุทัยธานี

05 มิ.ย. 2554

คุณตาคุณยายของดิฉันเป็นคน จ.อุทัยธานีค่ะ...ท่านทั้งสองมีบ้านริมน้ำและมีที่ดินขนาบข้าง 2 ฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง คุณตาคุณยายเสียชีวิตไปเกือบ 30 ปีแล้ว ดิฉันไม่ได้ไปเยือนอุทัยธานีอีกเลย มีแต่แม่เท่านั้นที่ยังคงเดินทางไปดูบ้านไปดูแลที่ดินอยู่อย่างสม่ำเสมอ จน

ก่อนจะถึง จ.นครสวรรค์...รถของเราก็เลี้ยวซ้ายเข้า จ.อุทัยธานีค่ะ ทัศนียภาพสองข้างทางเปลี่ยนแปลงไป...   ดูสวยงามขึ้นมากจากภาพที่เคยอยู่ในความทรงจำครั้งนั้น ภูเขาข้างหน้านั้นคือ...เขาสะแกกรัง เราจะขับรถขึ้นไปบนเขานี้เพื่อชมทัศนียภาพของเมืองอุทัยธานี และไว้พระที่ “วัดสังกัตรัตนคีรี” กันก่อนค่ะ

 เคยได้ยินมานานแล้วค่ะว่า จ.อุทัยธานีนี้เป็น เมืองพระชนกจักรี... ว่ากันว่าในสมัยสุโขทัย ท้าวมหาพรหมได้เข้ามาสร้างบ้านตั้งเมืองและเรียกเมืองนี้ว่า "เมืองอู่ไทย"  ต่อมา...เมื่อเกิดเหตุกันดารน้ำ  “เมืองอู่ไทย” จึงถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่งถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงมีชนละว้าเข้ามาตั้งเมืองอีกครั้ง และได้เรียกชื่อใหม่ว่า "เมืองอุไทย"  

 พระยาราชนกุล (ทองคำ)ปลัดทูลฉลองมหาดไทย  ซึ่งเป็นขุนนางในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ   ได้มาสร้างครอบครัวอยู่ ที่ “บ้านสะแกกรัง”  มีบุตรชายคนโตชื่อ "ทองดี" เมื่อเติบโตได้ติดตามบิดาและเข้ารับราชการที่กรุงศรีอยุธยาจนได้บรรดาศักดิ์เป็นพระพินิจอักษร และพระอักษรสุนทรศาสตร์ ตามลำดับ

 พระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) มีบุตรธิดา 5 คนบุตรชายคนที่ 4 ชื่อ "ทองด้วง" ซึ่งภายหลังก็คือพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงสถาปนาพระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) ผู้เป็นพระบิดาขึ้นเป็น "พระปฐมบรมมหาชนก"  จึงถือได้ว่า “บ้านสะแกกรัง” อำเภอเมืองอุทัยธานี เป็นบ้านเกิดของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกพระราชบิดาของรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีค่ะ

 บนเขา “สะแกกรัง” แห่งนี้...ได้มีการประดิษฐาน พระบรมรูปพระปฐมบรมมหาชนกเป็นรูปหล่อขนาดสองเท่าขององค์จริง ประทับในพลับพลาจตุรมุข ออกแบบโดยกรมศิลปากร และทุกๆ ปี จะมีพิธีถวายราชสักการะ "สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก" เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงค์จักรี ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันเปี่ยมล้น สร้างคุณประโยชน์มหาศาลต่อประเทศชาติและจังหวัดอุทัยธานีค่ะ

 ดิฉันเป็นคนที่ชอบเดินทาง...มีความสุขทุกครั้งที่ได้มองสิ่งต่างๆ รอบตัว  ได้เห็นสีเขียวๆ ของธรรมชาติ  ได้นั่งๆนอนๆ อยู่ใกล้ๆ แม่น้ำ และชอบที่จะพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนที่สูงๆ ถึงแม้ว่าการขึ้นไปยืนบนที่สูงจะไม่ใช่ความสุขก็ตาม  การได้ขึ้นมาชมเมืองอุทัยตรงจุดนี้...จึงมีความหมายมากกว่าการชมทัศนียภาพที่สวยงามค่ะเพราะดิฉันได้มองเห็นความร่มรื่นของผืนดินที่เป็น “บ้านเกิด” ของคนที่รักดิฉันที่สุดนั่นก็คือ...คุณตา คุณยาย และแม่  อุทัยธานี...ในวันนี้จึงรื่นรมย์ อบอุ่นและงดงามเหลือเกินค่ะ

 ขึ้นมาถึงวัดสังกัตรัตนคีรีแล้ว...เราก็ต้องไปทำบุญไหว้พระกันหน่อยนะคะ ทุกครั้งที่ไหว้พระ...ดิฉันจะขอให้พระคุ้มครองคนที่ดิฉันรัก ขอให้ดิฉันมีสติในการดำเนินชีวิต  ขอให้ดิฉันมีโอกาสได้ดูแลแม่ในฐานะลูก และได้ดูแลลูกชายคนเดียวในฐานะแม่ให้นานที่สุด... ให้คุ้มค่ากับการที่เรา 3 คนได้เกิดมาพบเจอและใช้ชีวิตร่วมกันค่ะ...

  ลงจากเขาสะแกกรังแล้ว... เราก็ตรงไปที่บ้านเลยค่ะ  อยากเห็นบ้านไม้ริมน้ำที่ไม่ได้เห็นมานานถึง 30 ปีเต็มทีแล้ว ว่าจะเก่าแก่และทรุดโทรมไปมากน้อยเพียงไหน...บ้านของเรายังแข็งแรงและร่มรื่นเหมือนเดิมเลยค่ะ มีเพียงแต่สีของบ้านเท่านั้นที่ซีดจางไปตามกาลเวลา

 ดิฉันเดินไปยังระเบียงหลังบ้านที่อยู่ติดแม่น้ำ...ลมพัดมาเย็นเชียวค่ะ ว่าแล้วก็คว้าหมอนมานอนเล่นที่ระเบียงนั่นเอง แล้วก็หลับยาวเชียวแหละ...ตื่นมาอีกทีก็เกือบเย็นแล้ว ดีนะคะว่าบ้านของคุณตาอยู่ห่างจากตัวเมืองไปเพียงแค่ 3-4 ก.ม. เมื่อนั่งรถกลับเข้ามาในเมืองจึงยังพอเที่ยวชมอะไรได้ทัน

 รถของเราจอดที่หน้าร้านขนมหวานชื่อ “พรรณณี” ค่ะ...เป็นขนมหวานไทยๆ หน้าตาน่ารับประทานมาก แม่บอกว่าสมัยก่อนต้องสั่งล่วงหน้าค่ะ ไม่งั้นไม่ได้ทาน เพราะขนมร้านนี้ขายดีมากๆ เราซื้อแล้วเก็บไว้ในรถก่อนค่ะ แล้วจึงเดินเข้าตลาดแล้วข้ามสะพานปูนเล็กๆ ไปชมความงดงามของวัดอุโบสถาราม

 “วัดอุโบสถาราม” เมื่อก่อนชื่อวัดโบสถ์มโนรมย์ ชาวบ้านเรียกว่ากันว่า “วัดโบสถ์” เป็นวัดเก่าแก่อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เราจะเดินข้ามสะพานปูนเล็กไปที่วัดกันค่ะ ความโดดเด่นของวัดโบสถ์อยู่ที่มณฑปแปดเหลี่ยมซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ที่มีลักษณะผสมแบบตะวันตก มีลายปูนปั้นคล้ายไม้เลื้อยที่กรอบหน้าต่างและมีพระพุทธ รูปปูนสลักนูนสูงอยู่ที่ด้านนอกของอาคาร เจดีย์หกเหลี่ยม ย่อมุมไม้สิบสองทรงรัตนโกสินทร์ หอประชุมอุทัยพุทธสภา ซึ่งเป็นหอสวดมนต์ เป็นศาลาทรงไทย หน้าบันประดับลวดลายปูนปั้น และแพโบสถ์น้ำซึ่งใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนาในโอกาสต่างๆ

 ระหว่างที่เดินข้ามสะพานปูนย้อนกลับมาที่ฝั่งตลาดก็ได้เห็นบรรยากาศของเรือนแพริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังค่ะ...เห็นน้ำใสๆ ที่ให้ความรู้สึกชุ่มเย็นแล้วแบบนี้แล้ว อยากลงไปว่ายเล่นเหมือนตอนเป็นเด็กๆ จังเลยค่ะ คุณยายเคยบอกว่า...คนอุทัยมีสำนวนเก่าๆ อยู่ประโยคซึ่งเป็นประโยคที่ดิฉันจำได้แม่นเลยค่ะ

“ถึงอุทัยไม่ต้องอุทธรณ์ ค่ำแล้วก็นอนที่เมืองอุทัย หากได้ดำน้ำสามผุด จะไม่หลุดไปจากอุทัย”

 ความเชื่อนี้ต้องพิสูจน์ค่ะ !! สงสัยต้องไปหลอกล่อใครบางคน ให้มาดำน้ำสะแกกรัง ซะแล้ว !! ดูสิว่า...จะไปไหนไม่รอดจริงหรือเปล่า ???

 เมื่อเดินกลับไปอีกฝั่งก็พลบค่ำแล้ว... ตลาดก็เริ่มจะวาย ของค้าของขายกำลังจะหมดแล้ว  มีเวลาเดินเที่ยวชมบรรยากาศของตลาดสดเทศบาล ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้นเองค่ะ  ค่ำนั้นเรานั่งทานโจ๊กหมูกันบนริมฟุตบาทในตลาดค่ะ อร่อยจริงๆ เชียว และก็ตามด้วยปาท่องโก๋สังขยา กรอบนอกนุ่มในเจ้านี้จนพุงกางเลย   อิ่มแล้วก็กลับบ้าน  จะอาบน้ำเย็นๆ แล้วกางมุ้งนอนค่ะ

 ดิฉันเปิดหน้าต่างออกทุกบานเพื่อรอรับพลิ้วลมเย็นๆ ที่พัดมาจากแม่น้ำ  ชอบจังเลยค่ะ... บรรยากาศแบบนี้      บ้านไม้...สายน้ำ และลมเย็นๆ... ดิฉันกำลังจะหลับแล้วล่ะ วันหลังจะมีเรื่องจากอุทัยธานีมาเล่าสู่กันฟังใหม่นะคะ

เรื่อง/ภาพ โดย My-name-is-Gee
http://www.oknation.net/blog/this-is-gee