
เลี้ยง"อูฐ"เพื่อการท่องเที่ยวที่ศูนย์วิจัย"ลำพญากลาง"
แม้ในบ้านเรา "อูฐ" ในเชิงธุรกิจแล้วจะไม่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ สาเหตุเพราะสภาพภูมิอากาศ สภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่สอดคล้อง ต่อวิถีการดำเนินชีวิตของกลุ่มสัตว์ประเภทนี้ หากทว่าในเชิงการเลี้ยงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการท่องเที่ยว ในอนาคตดูจะมีแนวโน้มที
ผอ.ปิยศักดิ์ บอกว่า ศูนย์นี้ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2476 โดยกรมปศุสัตว์ และเรียกว่า "หมวดสัตว์ใหญ่ชัยบาดาล" โดยมีสถานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เทือกเขาพังเหย ถึงเหวตาบัว วัตถุประสงค์เพื่อเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการปรับปรุงและกระจายพันธุ์สัตว์เพื่อส่งเสริมสู่การเกษตร ต่อเมื่อปี 2529 กรมปศุสัตว์จึงเปลี่ยนชื่อเป็นศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ลำพญากลาง ดังกล่าว
"ศูนย์มีสัตว์ที่ปรับปรุงขยายพันธุ์สู่การเกษตรหลายชนิด เช่น โคพันธุ์บราห์มัน กระบือ ที่น่าสนใจอีกชนิดคืออูฐ เพื่อเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ป้อนให้เกษตรกรในพื้นที่ โดยเฉพาะอูฐที่ปัจจุบันศูนย์มีกว่า 100 ตัว" ผอ.ปิยศักดิ์ แจง
ด้าน เทอดศักดิ์ ชมชื่นจิตร์ นักวิชาการสัตวบาลชำนาญการ ศูนย์วิจัย เล่าให้ฟังว่า อูฐที่ศูนย์ได้รับมาจากประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 2538 ตามโครงการวิจัยพันธุ์อูฐ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการเลี้ยงอูฐในประเทศไทย เป็นอูฐพันธุ์ตะโหนกเดียว (one-humped) หรือ Camelus dromedary ซึ่งจะเลี้ยงในแถบประเทศที่มีภูมิอากาศแห้งแล้ง ซึ่งประเทศที่มีอูฐพันธุ์นี้มากที่สุดคือ ซูดาน
"อูฐในโลกแบ่งเป็น 2 พันธุ์ คือพันธุ์ตะโหนกเดียว (one-humped) และพันธุ์ 2 ตะโหนก (two-humped) หรือ Camelus bactrianus ที่ส่วนใหญ่จะเลี้ยงในประเทศที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น" เทอดศักดิ์บอก พร้อมยืนยันถึงการวิจัยเพื่อการผลิตอูฐภายใต้สภาพแวดล้อมภูมิอากาศของไทยว่า สามารถเลี้ยงและขยายพันธุ์ได้เช่นเดียวกับเลี้ยงในประเทศแถบทะเลทราย
โดยเฉพาะหากเลี้ยงในเชิงเศรษฐกิจ ประโยชน์ที่ได้จากอูฐมีหลายอย่าง คือเนื้อ ใกล้เคียงกับเนื้อโค กระบือ อย่างยิ่งบริเวณตะโหนกมีรสชาติอร่อยที่สุด ขณะที่หนัง เหมาะนำมาทำเป็นเครื่องหนัง ถ้าเปรียบเทียบระหว่างอูฐ 2 พันธุ์ พันธุ์สองตะโหนกให้หนังที่มีคุณภาพดีกว่า ส่วนขนอูฐ เมื่อโตเต็มที่ให้ขน 1-5 กิโลกรัม/ปี นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อาทิ พรม เสื้อโค้ท ผ้าคลุมเตียง เต็นท์ เชือก อานม้า เป็นต้น
"อูฐเป็นสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะในภูมิประเทศที่แห้งแล้งกันดาร สามารถเดินทางได้ 12 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบรรทุกสัมภาระได้น้ำหนักประมาณ 600 กิโลกรัม" เทอดศักดิ์ แจงถึงคุณสมบัติพิเศษของอูฐ ที่นอกจากสามารถดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งกันดารได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังอดน้ำได้นาน 10-20 วัน
ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าอูฐก็มีโรคด้วย ดังนั้นการป้องกันโรค ศูนย์วิจัยได้ทำโปรแกรมวัคซีน คือโรคปากและเท้าเปื่อยทำปีละ 2 ครั้ง โรคคอบวมทำปีละครั้ง และโรคแอนแทรกซ์ทำปีละครั้ง
“การเลี้ยงอูฐเป็นสัตว์เศรษฐกิจเพื่อบริโภคเนื้อ น้ำนม บ้านเรายังไม่สมควรที่จะเลี้ยงในตอนนี้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตยังสูง และค่านิยมที่จะบริโภคเนื้อและนมอูฐยังไม่เป็นที่ยอมรับ บวกกับอูฐมีช่วงการอุ้มท้องที่ยาวนาน เปอร์เซ็นต์การตกลูกต่อปีจึงต่ำ เมื่อเทียบกับสัตว์ที่ให้เนื้อหรือนมชนิดอื่น แต่มีแนวโน้มทางการผลิตอูฐเพื่อการท่องเที่ยวได้ เพราะอูฐเป็นสัตว์ที่เชื่อง ฝึกได้ง่าย เรียนรู้เร็ว และตลาดด้านนี้ยังต้องการ" ผอ.ศูนย์แจง
ปัจจุบันศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ลำพญากลาง นอกจากมีการเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ต่างๆ แล้ว ยังเป็นแหล่งศึกษาทดลองงานของนักศึกษาด้านการปศุสัตว์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางการเกษตรของ อ.ลำสนธิ ด้วย
สรศักดิ์ ทับทิมพราย