ไลฟ์สไตล์

คุยกับสองผู้กำกับ "ศัตรูประชาชน"...  
เบื้องหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยุค "เขมรแดง"

คุยกับสองผู้กำกับ "ศัตรูประชาชน"... เบื้องหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยุค "เขมรแดง"

25 พ.ค. 2554

ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "ศัตรูประชาชน" (Enemies of the People) ผลงานร่วมสร้างระหว่างผู้กำกับชาวอังกฤษ ร็อบ เลมกิ้น และนักข่าวชาวเขมร เต็ต สัมบัท ที่แม้ใช้งานสร้างในรูปแบบของสารคดี แต่วิธีการของการตั้งคำถาม ในแนวสืบสวนสอบสวน อันมีที่มาจากความไม่เข้าใจถึงเหตุก

  "ศัตรูประชาชน" ใช้เวลาสร้างกว่า 10 ปี และได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติต่างๆ ทั่วโลกตลอดปี 2553 รวมถึงได้รับรางวัลมากมาย

 ในบ้านเรา นอกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดเสวนาเพื่อความเข้าใจต่อเพื่อนบ้านแล้ว โรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟ ภายใต้โครงการจัดจำหน่ายภาพยนตร์อิสระ และผู้สนับสนุนก็ได้จัดโปรแกรมฉายพิเศษที่เอสเอฟ เวิลด์ ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม จนถึงสิ้นเดือนนี้   

 เปิดประเด็นกับผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น เต็ต สัมบัท ทำไมวันนี้เขาถึงมาทำหนังเรื่องนี้...

0 เหตุการณ์เขมรแดงมีผลกระทบต่อครอบครัวของคุณอย่างไรบ้าง
 พ่อของผมเป็นชนชั้นกรรมาชีพคนหนึ่ง เขาถูกเขมรแดงฆ่าในปี ค.ศ. 1974 เพราะปฏิเสธไม่ยอมยกควายให้ แม่ของผมถูกบังคับให้แต่งงานกับนายทหารเขมรแดง และเสียชีวิตหลังคลอดลูกในปี 1976 ขณะที่พี่ชายของผมหายสาบสูญไปเมื่อปี 1977 ผมมาทราบตอนหลังว่าเป็นช่วงการกวาดล้างใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ในหมู่บ้านของเรา

0 ชีวิตหลังจากนั้นเป็นอย่างไร
 เมื่อตอนที่เขมรแดงล่มสลายในปี 1979 ผมซึ่งตอนนั้นอายุ 10 ขวบ ได้หลบหนีไปอยู่ในค่ายผู้อพยพติดกับชายแดนไทย ผมเรียนภาษาอังกฤษจากมิชชันนารีชาวอเมริกัน แล้วก็ค่อยๆ เริ่มทำงานเป็นผู้ประสานงานให้แก่องค์กรสื่อต่างๆ ในพนมเปญในช่วงปี 1990

0 เมื่อมองย้อนกลับไป มีความรู้สึกอย่างไรต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
 ตลอดช่วงเวลานั้นผมไม่เคยเข้าใจจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในยุคเขมรแดง ผมอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ซึ่งแทบทั้งหมดเขียนโดยชาวต่างชาติ แต่มันก็ยังดูไม่เป็นเหตุผลสำหรับผม ว่าทำไมถึงมีคนถูกฆ่ามากมายถึงขนาดนี้ มันคงไม่ใช่แค่ว่าเขมรแดงเป็นคนไม่ดี

0 คุณได้เริ่มเข้ามาสืบค้นเรื่องเขมรแดงได้อย่างไร
 ในปี 1998 เนื่องจากผมทำงานเป็นนักข่าว ผมจึงได้มีโอกาสรู้จักกับหลายๆ คนที่เป็นลูกของอดีตนายทหารเขมรแดงระดับสูง แม้ภรรยาของผมจะไม่พอใจค่อนข้างมาก แต่ในช่วง 4 ปีหลังจากนั้น ผมก็ได้ใช้เวลาทุกสุดสัปดาห์ไปกับการไปเยี่ยมบ้านของนวนเจีย หรือพี่ชายหมายเลขสอง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำเขมรแดงอาวุโสที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ 

0 นวนเจียเล่าอะไรให้ฟังบ้าง
 ในตอนแรกเขาเองไม่เคยพูดอะไรมากไปกว่าเรื่องเดิมๆ ที่เขาบอกกับนักข่าวต่างชาติมาตลอด เช่น “ฉันเป็นแค่เจ้าหน้าที่ระดับล่าง” “ฉันไม่รู้อะไรเลย” “ฉันไม่ได้ฆ่าใคร”

 จนวันหนึ่งเขาบอกผมว่า “สัมบัท ฉันเชื่อใจเธอ เธอเป็นคนที่ฉันอยากจะเล่าเรื่องของฉันให้ฟัง ถามฉันมาว่าเธออยากรู้อะไรบ้าง” และในระหว่าง 5 ปีต่อจากนั้นมาเขาก็เล่าความจริงให้ผมฟังตามสิ่งที่เขาประสบมา รวมถึงรายละเอียดเรื่องการสั่งฆ่าด้วย

0 ทราบว่าคุณได้ไปพบกับสมาชิกเขมรแดงคนอื่นๆ ด้วย คุณทำอย่างไรจึงสามารถเข้าถึงบุคคลเหล่านั้นได้
 ตลอดช่วงเวลานั้นผมเองก็ได้ใช้ความพยายามอย่างสาหัสในการสร้างเครือข่ายกับเหล่านักฆ่าเขมรแดงเพื่อจะหาคนที่ยอมคุยกับผมเรื่องนี้ ในกัมพูชามีคนเหล่านี้อยู่หลายพันคนแต่ไม่เคยมีใครยอมรับสารภาพ การหาตัวคนเหล่านี้มาได้นั้นเหมือนต้องงมเข็มในมหาสมุทร

 กลุ่มคนสุดท้ายที่ผมเจอคือคนที่เป็นผู้วางแผน เป็นพวกที่พยายามจะล้มพลพตกับนวนเจีย ถ้าขาดคนเหล่านี้ไปเราจะไม่สามารถเข้าใจความเป็นไปของทุ่งสังหารได้ แต่อย่างไรก็ตาม คนที่เหลือรอดมาได้เหล่านั้นต่างไม่มีใครยอมพูดเรื่องนี้เลย

0 คุณคิดว่าทำไมบุคคลเหล่านี้จึงยอมเล่าความจริงให้คุณฟัง
 แหล่งข่าวของผมล้วนแต่เป็นคนชนบท เพราะสมาชิกเขมรแดงประกอบด้วยคนชนบททั้งหมด พวกเขาจะไม่ยอมพูดกับคนเมืองเลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่คนต่างชาติเลย ตัวผมเองก็เป็นคนชนบท ผมคิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาเหล่านั้นยอมพูดกับผม เพราะผมเองก็เหมือนกับเขา

0 คุณตั้งใจจะทำเรื่องนี้เป็นหนังมาตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า
 ในปี 2005 ผมเริ่มวางแผนจะเขียนเรื่องนี้เป็นหนังสือ แต่ผมก็กังวลว่าจะไม่มีใครเชื่อสิ่งที่ผมเล่า ผมเลยเริ่มอัดเสียงบทสัมภาษณ์ทั้งหมดที่ผมทำ แต่ผมก็ยังกังวลอยู่ว่าคนอาจจะยังไม่เชื่ออีก ดังนั้น ในปี 2006 ผมเริ่มถ่ายบทสัมภาษณ์และการพูดคุยของผมเป็นวิดีโอเทปไว้ด้วย

 ในปีเดียวกันนั้น ผมได้พบกับร็อบ และเราตัดสินใจทำเรื่องนี้ออกมาเป็นภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับผลงานที่ผมทำและเรื่องความลับของเขมรแดง

0 คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้จะส่งผลอย่างไรกับคนกัมพูชาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับเหตุการณ์เหล่านี้ รวมไปถึงผลที่จะเกิดกับบุคคลในหนังด้วย

 หลายคนอาจบอกว่าการไปพูดคุยกับฆาตกรและยึดติดกับความเลวร้ายในอดีตไม่ได้ส่งผลดีอะไรขึ้นมา แต่ผมมองว่าบุคคลเหล่านั้นเขาเสียสละอย่างมากในการมาเล่าความจริง พวกเขาทำดีที่กล้าสารภาพ อาจจะเป็นความดีอย่างเดียวที่เหลือที่ยังทำได้อยู่ด้วยซ้ำ พวกเขาเหล่านี้ และรวมไปถึงเหล่านักฆ่าคนอื่นๆ จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการปรองดองหากต้องการให้ประเทศของเราเดินหน้าต่อไป

คุยกับ ร็อบ เลมกิ้น ผู้กำกับชาวอังกฤษ
0  คุณเคยทำหนังเกี่ยวกับประเทศในภูมิภาคเอเชียมาก่อนหรือไม่
 เมื่อสิบปีที่แล้วผมเคยทำสารคดีให้บีบีซี เกี่ยวกับนักปฏิวัติลึกลับมาเลเซียชื่อ จินเป็ง เขาได้มาร่วมงานตอนที่หนังฉายเปิดตัวที่ลอนดอน และตอนที่กำลังนั่งแท็กซี่กลับสนามบิน เขาเล่าให้ผมฟังว่าเมื่อปี 1975 ประธานเหมาเจ๋อตุงได้ส่งเขาไปอยู่กับพลพต เขาบอกผมว่าในความเป็นจริงนั้น พลพตต่างจากที่คนส่วนใหญ่คิดไว้มาก พลพตเคยยอมรับกับเขาว่า หลังจากได้รับอำนาจมาแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่เข้าใจความเป็นไปของเหตุการณ์รอบตัว เหมือนกระต่ายที่โดนแสงไฟรถส่องเข้าตาจนตกใจลนลานนึกอะไรไม่ออก ซึ่งจินเป็งคิดว่านี่เป็นสาเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรมทุ่งสังหารขึ้น

0 อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจทำหนังเรื่องนี้ร่วมกับ เต็ต สัมบัท
 ภาพของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดจากความสับสนวุ่นวายและไร้ประสบการณ์ของผู้เกี่ยวข้องเหล่านี้ฝังอยู่ในใจของผม จนในปี 2006 ผมเดินทางไปพนมเปญและได้พบกับสัมบัท ผมพบว่าเราสองคนมีความคิดเรื่องการศึกษาประวัติศาสตร์ในมุมมองใหม่ๆ ตามแบบของนักข่าวสืบสวนสอบสวนเหมือนกัน และผมก็พบด้วยว่าเขาเองก็กำลังเดินไปในเส้นทางเดียวกันเพื่อเข้าถึงหัวใจของทุ่งสังหาร แต่ตัวเขาถลำเข้าไปลึกกว่ามาก และมันเป็นเรื่องความเป็นความตายของตัวเขาเองด้วย

0 ส่วนตัวของคุณเองมีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องเขมรแดง และเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
 ตัวผมเองแม้แทบไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับประเทศกัมพูชาเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะครอบครัวทางฝั่งพ่อของผมหลายคนก็ถูกกองทัพนาซีฆ่า รวมถึงญาติห่างๆ ของผมคนหนึ่ง คือ ราฟาเอล เลมกิ้น ก็เป็นผู้บัญญัติคำว่า “genocide” ในภาษาอังกฤษด้วย

0 คุณมองสิ่งที่สัมบัททำ ในฐานะคนกัมพูชา ว่าอย่างไร
 ผมมองสัมบัทในฐานะคนที่กำลังพยายามหาเหตุผลให้แก่ฝันร้ายในวัยเด็กของเขา เมื่อใดที่เขาเข้าใจความหมายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากำลังตามหามันอยู่ มันจะทำให้เขาบรรลุถึงความสงบภายใน ในการที่จะสามารถเอาความสูญเสียในชีวิตส่วนตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โดยรวม

 นอกจากนี้ผมยังมองเขาในฐานะตัวแทนของคนรุ่นที่สอง ที่กำลังพยายามค้นหาความจริงจากคนรุ่นแรก เพื่อที่จะได้นำความหมายของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไปถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นที่สามต่อไป ซึ่งในทางนี้ก็จะเหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เยอรมนี แอฟริกาใต้ ไอร์แลนด์เหนือ ยูโกสลาเวีย รวันดา อิรัก หรือซูดาน