
เรียนรู้ปล่อยเต่าเพื่ออนุรักษ์
มีความเชื่อต่อๆ กันมาว่า การปล่อยเต่าจะทำให้ผู้ปล่อยอายุยืน หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย และจากมีการซื้อ-ขายเพื่อนำไปทำบุญตามความเชื่อ กลับส่งผลให้ปริมาณเต่าไทยลดลง
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่า เต่าทุกชนิดในประเทศไทย ถือเป็นสัตว์คุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ไม่อนุญาตให้มีการล่าหรือซื้อขายเพื่อใช้ประโยชน์จากสัตว์หรือเพื่อการทำบุญ
จากสถิติการจับกุมการลักลอบจำหน่ายเต่า ฝ่ายป้องกันและปราบปราม ส่วนคุ้มครองสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ พบว่า เต่าถูกลักลอบนำมาจำหน่ายในกรุงเทพฯ มากที่สุด สถิติระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2553-เมษายน 2554 สามารถจับกุมการลักลอบค้าเต่าได้ถึง 287 ตัว ซึ่งพบว่าได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เนื่องมาจากการขนส่งที่ไม่ถูกวิธี และเต่าทำร้ายกันเอง
ทั้งนี้ เต่าที่นำมาจำหน่าย ส่วนใหญ่มาจากชาวบ้านที่จับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ มิได้มาจากการเพาะพันธุ์ เนื่องจากเต่าเป็นสัตว์ที่เพาะพันธุ์ได้ยาก และต้องได้รับการอนุญาตเพาะพันธุ์เต่าตามกฎหมาย
นสพ.เกษตร สุเตชะ หน่วยสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ โรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน อธิบายว่า เต่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีรูปร่างค่อนข้างกลม มีกระดองแข็งห่อหุ้มร่างกายและอวัยวะสำคัญ มีหลายสายพันธุ์กระจายอยู่ทั่วโลก มีทั้งหากินบนบก ในแม่น้ำ ลำคลอง และในทะเล
ทว่า ธรรมชาติของเต่าที่ถูกนำมาปล่อยร้อยละ 99 กินสัตว์ อาทิ ลูกปลา ลูกกุ้ง หอย หรือหากถูกนำมาปล่อยเพื่อทำบุญ เต่าจะกินอาหารเม็ดสำหรับให้ปลา มีเพียงร้อยละ1 เท่านั้นที่กินพืชผัก
เต่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน อุณหภูมิ ความชื้นและแสงแดดจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ดังนั้น หากจะปล่อยเต่าสิ่งที่ต้องคำนึง คือสภาพแวดล้อม หากน้ำสกปรก ประชากรเต่าเยอะจะทำให้เต่าทำร้ายกันเอง และหากพบว่าเต่ามีเบ็ดติดอยู่ที่ตัว หรือกระดอง ไม่ควรนำปล่อยลงน้ำ เพราะจะทำให้แผลเน่าและแพร่ระบาดโรคไปสู่เต่าในธรรมชาติได้
ทว่า หากจะปล่อยเต่าลงน้ำต้องให้แน่ใจว่าเต่านั้นเป็นเต่าน้ำ ถ้าเป็นเต่าบกลงน้ำ เต่าก็จะจมน้ำตาย
การ “ปล่อยเต่า” ตามความเชื่อไม่ใช่สิ่งผิด หากแต่อย่าลืมมองธรรมชาติของเต่าถึงการอยู่อาศัยและการบริโภค เพื่อให้เต่าสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และไม่สูญพันธุ์ในที่สุด