
พบซากเรือสำเภาโบราณสมัยอยุธยาอายุ400ปี
นักโบราณคดีใต้น้ำดำเจอเรือสำเภาโบราณอายุ 400ปี บรรทุกสังคโลกนับหมื่นชิ้นใกล้เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ฯ -อีกลำห่างฝั่งจันทบุรี 60 ไมล์ทะเล เชื่อเป็นเส้นทางการค้าสมัยอยุธยา เผยเจอไหเตาแม่น้ำน้อยสิงห์บุรีโผล่พิพิธภัณฑ์โปรตุเกส ด้านเขมรส่งเจ้าหน้าที่ร่วมฝึกอบรมเพิ
เมื่อวันที่ 18 พ.ค. นายเอิบเปรม วัชรางกูร หัวหน้ากลุ่มโบราณคดีใต้น้ำ สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ทีมนักโบราณคดีใต้น้ำได้ปฏิบัติงานสำรวจแหล่งเรือจม 2 แห่งกลางทะเลอ่าวไทย พบเรือสำเภาโบราณขนาดใหญ่ 2 ลำอยู่ในช่วงสมัยอยุธยาราวพุทธศตวรรษที่ 22 หรืออายุประมาณ 400 ปี ลำแรกจมอยู่บริเวณเหนือเกาะเต่า จังหวัดสุราษฏร์ธานีออกไป 6 ไมล์ทะเล พบเรือสำเภาขนาดใหญ่ ลำที่สองอยู่ห่างจากฝั่งจังหวัดจันทบุรีออกไป 60 ไมล์ทะเลอยู่ตรงกลางอ่าวไทยเป็นส้นทางที่มุ่งหน้าไปทางจังหวัดนครศรีธรรมราช เรือสำเภา 2 ดังกล่าวจมลึกอยู่ใต้ท้องทะเลประมาณ 70 เมตร บรรทุกเครื่องถ้วยชามไหสังคโลกจำนวนมากร่วม 10,000 ชิ้นยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และส่วนหนึ่งแตกกระจัดกระจายจากการถูกรบกวนของอวนเรือลากไปโดนทำให้เกิดความเสียหาย จึงได้มีการเก็บขึ้นมาบางชิ้นนำมาศึกษา เครื่องสังคโลกทั้ง 2 ลำดังกล่าวสันนิษฐานว่าผลิตมาจากเตาเผาศรีสัชนาลัยในสมัยสุโขทัย
“จากการศึกษาเรือสำเภาจมดังกล่าว ทำให้ทราบว่าเป็นเส้นทางเดินเรือการค้าของสมัยอยุธยา ประเทศสยามหรือไทยได้ส่งเครื่องสังคโลกไปขายยังแถบแหลมมาลายูหมู่เกาะฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และแถบมหาสมุทรอินเดีย ศรีลังกา อย่างไรก็ดีจากการศึกษาส้นทางการค้าสมัยพุทธศตวรรษที่ 22 นี้ยังพบว่าชาวโปรตุเกสได้มีการเดินเรือเข้ามาค้าขายทั้งบรรทุกเครื่องเทศและถ้วยชามสังคโลกไปยังประเทศของตนอีกด้วย เนื่องจากได้พบไหเตาแม่น้ำน้อยสิงห์บุรีจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในเมืองลิสบอน จึงแสดงให้เห็นว่าเครื่องสังคโลกเป็นสินค้าของชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นประเทศแรกที่เข้ามายังสยามสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อประมาณ 500 ปีมาแล้วด้วย” นายเอิบเปรม กล่าว
หัวหน้ากลุ่มโบราณคดีใต้น้ำ กล่าวอีกว่า ขณะนี้โบราณคดีใต้น้ำของไทยร่วมกับยูเนสโกได้มีการฝึกอบรมปฏิบัติโบราณคดีใต้น้ำแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิคที่ศูนย์ฝึกอบรมฯ จังหวัดจันทบุรี ครั้งที่ 4 จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายนนี้ มี 11 ประเทศเข้าร่วม อาทิ อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ จีน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ปากีสถาน เวียดนาม กัมพูชา และไทย ฝึกภาคสนามใช้เครื่องจีไอเอส บันทึกข้อมูลและปฏิบัติทางใต้ทะเลที่เกาะมันนอกจังหวัดระยอง โดยทุนสนับสนุนจากรัฐบาลนอร์เวย์แต่ละครั้งจำนวน 1.2 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การฝึกอบรมครั้งนี้คงต้องขอยืดระยะเวลาจากทุนผู้สนับสนุนดังกล่าวออกไปถึงเดือนธันวาคม เนื่องจากฤดูนี้เป็นช่วงมรสุมทำให้มีคลื่นลมแรงเป็นอุปสรรคการฝึกภาคสนามอย่างมาก