
บวชพระแหละดีไม่มีเรื่องวุ่น
วันนี้ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนหก เท่ากับว่าวันนี้เป็นวันแรกของเดือนหกในการนับเดือนแบบไทย ข้างขึ้นข้างแรม แต่ถ้าเป็นการนับแบบสากลทั่วไป เราก็จะทราบกันดีว่าวันนี้ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม นั่นเอง
แต่ที่เกริ่นหัวขึ้นมาในการย่างเข้าเดือนหกนั้น จริงๆ แล้วผมตั้งใจจะเขียนถึงเดือนที่เริ่มเข้าฤดูการอุสมบท เพราะช่วงนี้จนถึงก่อนเข้าพรรษาในเดือนกรกฎาคม ชายไทยที่นับถือ ศาสนาพุทธ และเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2534 ก็จะมีสิทธิ์เข้าอุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุ ซึ่งตัวผมเองในขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับก็พึ่งจะกลับมาจาก งานอุปสมบทลูกศิษย์ที่ วัดเขากระจิว จังหวัดเพชรบุรี จึงได้แรงบันดาลใจที่จะกลับมาเขียนเรื่องงานบวชหรืองานอุปสมบทให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันแบบเพลินๆ มีสาระ หรือไม่แน่นักพออ่านเสร็จแล้วก็อาจจะอยากบวชกับเขาบ้าง หรือท่านที่บวชไปแล้วก็อยากกลับมาบวชอีกครั้ง ก็เป็นไปได้ เพราะการบวชพระนั้นก็สามารถบวชได้มากกว่า 1 ครั้ง
ชาวพุทธศาสนาจะทราบกันดีว่าเกิดมาเป็นชายจะต้องบวชเป็นพระกับเขาสักครั้งหนึ่ง และถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็อาจจะไม่ทราบว่าบวชแล้วจะมีอะไรขึ้นมาหรือบวชแล้วได้อะไร ซึ่งบางคนก็อาจจะติดว่าบวชตามประเพณีหรือพ่อแม่ให้บวชก็ต้องบวช หรือถ้าคิดดีขึ้นมาหน่อยก็อาจจะคิดว่าบวชแล้วจะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีจิตใจดีหรือมีความรู้สึกนึกคิดที่ดี จากการได้ศึกษาพระธรรม แต่โดยความจริงแล้วการบวชพระนั้นถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณให้แด่บิดามารดา ส่วนผู้ที่เป็นบิดามารดาก็มีจุดมุ่งหมายที่จะให้บุตรของตนได้เป็นศาสนทายาท หรือผู้ที่ต่ออายุพุทธศาสนาให้ยั่งยืนยาวนานต่อไป และเป็นการปลูกฝังให้บุตรได้เรียนรู้หลักของพุทธศาสนา เพื่อที่จะได้เป็นผู้ที่ประพฤติและปฏิบัติตนให้เป็นคนดี
องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ว่า การบวชพระนั้นถือเป็นอนิสงส์พิเศษกว่าอย่างอื่น โดยการสร้างบุญกุศลอื่นๆ เช่น การถวายผ้าป่า ทอดกฐิน หรือแม้กระทั่งการสร้างวิหารนั้นอนิสงส์ที่พึงได้นั้นจะต้องโมทนาก่อน แต่การอุปสมบทนั้นบิดามารดาจะได้รับอนิสงส์โดยสมบูรณ์ทันที ถึงแม้ว่าบิดาหรือมารดาจะจากกันไปหรือไม่ได้รับรู้ในการอุปสมบทก็ตาม และองค์พระบรมศาสดาของเราได้ตรัสไว้ว่าผู้ที่อุปสมบทเป็น พระภิกษุสงฆ์ และปฏิบัติตนในพระธรรมวินัยแล้ว เมื่อตายไปจะได้อนิสงส์เป็นเทวดาหรือพรหม 60 กัป ส่วนบิดาและมารดาก็จะได้รับ 30 กัป แม้กระทั่งผู้ที่เป็นเจ้าภาพจัดการบวชให้ผู้อื่นที่ไม่ได้เป็นบุตรของตนเอง ก็จะได้รับ 12 กัป ซึ่งตรงนี้ผมเองก็ถือว่าได้รับไปแล้วเพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้วผมได้เป็นเจ้าภาพจัดงานบวชให้แก่ลูกศิษย์ในบ้านซึ่งบิดามารดาของเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว และตัวผมเองนั้นก็ได้เคยอุปสมบทเป็นพระไปเมื่อ 22 ปีที่แล้ว ซึ่งผมก็ได้รับการสั่งสอนจากพระพี่เลี้ยง ที่ท่านได้คอยอบรมสั่งสอนผมเป็นอย่างดี รวมถึงได้สนธนาในเรื่องอื่นๆ ที่เป็นความรู้อย่างเช่น เรื่องการบวชที่เปรียบเหมือนกับเป็นการยืนอยู่ในระหว่างสวรรค์กับนรก ถ้าในระหว่างที่เราเป็นพระถ้าปฏิบัติตัวอยู่ในพระธรรมวินัยไม่เจตนาที่จะอาบัติทำผิดต่อศิล 227 ข้อแล้วนั้น เราจะได้ก้าวไปอยู่บนสวรรค์ในภพหน้า แต่ถ้าปฏิบัติตนตรงกันข้าม ในภพหน้าก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกมนุษย์กับนรกภูมิ ดังนั้นตัวผมเองก็ไม่เคยคิดที่จะอาบัติหรือผิดข้อห้ามของพระภิกษุแบบโดยเจตนา ซึ่งในตอนแรกนั้นผมเองก็ไม่เคยติดถึงเรื่องนรกหรือสวรรค์ ได้แต่ตั้งใจที่จะบวชเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณให้แด่บิดาและมารดารวมถึงการอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แด่ปู่ย่าตายาย และญาติพี่น้องทุกท่านที่ล่วงลับไปแล้ว จึงไม่คิดที่จะอาบัติแต่อย่างใด และสิ่งที่สำคัญที่จะต้องปฏิบัติในระหว่างที่เราบวชเป็นพระก็คือ จะไม่ขาดการบิณฑบาตร ทำวัตรเช้าเย็น และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลในตอนเย็นของทุกๆ วัน แล้วถ้ามีเวลาว่างก็จะฝึกนั่งสมาธิซึ่งเหล่านี้ก็จะเป็นอนิสงส์ให้ตัวเราได้รับในชาตินี้ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า และผมก็รู้สึกตัวเองได้เลยว่าตั้งแต่สึกมาเป็นฆราวาสก็จะมีแต่เรื่องที่ดีๆ เข้ามาในชีวิตของผมอยู่เสมอ
ส่วนประเพณีการบวชของชาวไทยเราในบางงานเราจะทราบกันดีว่า จะมีการบวชนาคก่อน 1 วัน รวมถึงมีการทำพิธีทำขวัญนาคก่อนที่จะทำพิธีอุปสมบทในตอนเช้าของวันต่อไป แต่ในปัจจุบันยิ่งโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ การจัดงานบวชก็จะนิยมจัดแค่วันเดียว ก็คือจะตัดพิธีบวชนาคและทำขวัญนาคออกไป โดยหลังจากปลงผมในตอนเช้าแล้วก็จะเข้าโบสถ์ ทำพิธีอุปสมบท พอเสร็จแล้วก็จะฉลองพระบวชใหม่ด้วยการถวายภัตราหารเพล ซึ่งแบบนี้เขาจะนิยมเรียกว่า โกนหัวเข้าวัด ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไรแต่ตรงกันข้ามกลับเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปให้แก่ผู้ที่มีจิตศรัทธาต่อพุทธศาสนา และมีงบประมาณจำกัด
แต่การบวชนาคหรือการทำขวัญนาคก็ถือว่าเป็นประเพณีปฏิบัติอย่างหนึ่งของชาวไทย โดยการบวชนาคบางท่านอาจทราบดีว่า เป็นเรื่องราวของพญานาคที่ได้แปลงร่างเป็นมนุษย์และมาบวชเป็นพระ จนกระทั่งถูกพระพุทธเจ้าจับได้ จึงได้ให้สึกออกไป เพราะว่ามนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถบวชเป็นพระภิกษุได้ แต่ด้วยความที่เลื่อมใสต่อพุทธศาสนา พญานาคจึงได้ขอร้องมนุษย์ว่าก่อนที่จะบวชเป็นพระ ก็ขอให้บวชอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้บวชก่อน ก็คือตัวพญานาคนั่นเอง จึงเป็นที่มาของคำว่าบวชนาค ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ แต่ก็ทำให้เราได้ข้อคิดว่า แม้แต่พญานาคก็ยังคิดที่จะบวชเป็นพระภิกษุ...
เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แท้ๆ ยังไงก็ต้องบวชกับเขาให้ได้ในชาตินี้ เว้นแต่ว่าเราไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชน นั่นเองแหละครับและที่สำคัญก็คือ บวชพระแหละดีไม่มีเรี่องวุ่น ถึงจะเป็นเพลงแต่ก็เป็นเรื่องจริงนะครับ .....
ขุนอิน