ไลฟ์สไตล์

ชวนเที่ยวUnseenกรุงชิง:ความงาม หลังวิปโยค

ชวนเที่ยวUnseenกรุงชิง:ความงาม หลังวิปโยค

24 เม.ย. 2554

"กรุงชิง" เมืองเงียบๆ ตำบลเล็กๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาหลวง และเขานัน เขตอำเภอนบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช กรุงชิงเลยเหมือนอยู่ในแอ่งกระทะ แต่ก็จัดเป็นสมรภูมิชั้นเยี่ยม เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในอดีต มีประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางความคิด การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์แ

กว่าที่ฝ่ายรัฐบาลจะยึดพื้นที่คืนมาได้ในปี 2524 ร่องรอยยังมีให้เห็นในเส้นทางเข้าสู่น้ำตกกรุงชิงที่สวยงาม โดยเฉพาะน้ำตกกรุงชิงชั้นที่ 2 ที่ชื่อ หนานฝนแสนห่า ถูกนำภาพไปตีพิมพ์ในธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ที่ออกมารุ่นแรกๆ

 กรุงชิง บ้างว่าสมัยก่อนชื่อ กุงชิง แต่ชื่อนี้มีที่มาจาก "ต้นชิง" พืชตระกูลปาล์มที่มีมากในแถบนี้  ด้วยความสงบ และความเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแอ่งกระทะ ทำให้ถูกปกคลุมด้วยทะเลหมอก จนมีชื่อเสียงของ จุดชมวิวทะเลหมอก ที่เขาเหล็ก หมู่ 1 ต้นทางเข้ากรุงชิง บวกกับน้ำตกงามากมาย และสายน้ำคลองกลายที่ยามน้ำหลากก็จะเป็นสถานที่ ล่องแก่งคลองกลาย ที่สนุกสนาน ทำให้เริ่มมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลไปเที่ยวชม

  แต่มาวันนี้ กรุงชิง กลายเป็นแอ่งรับน้ำไปเต็มๆ จากขุนเขารอบด้าน เพราะกลุ่มฝนห่าใหญ่มาตกบริเวณนี้ ปริมาณมากกว่าเมื่อครั้งที่เกิดน้ำป่าทะลักเขาหลวงเมื่อปี 2531 เป็นเท่าตัว จนดินบนเขาไม่อาจจะอุ้มน้ำไว้ได้อีก น้ำทะลักอย่างรวดเร็วลงสู่แอ่งกระทะด้านล่าง พร้อมกับพัดก้อนหินใหญ่น้อย มาลงสู่สวนเกษตร ที่มีทั้งยางพารา และปาล์มด้านล่าง จนพื้นที่หายไปเป็นแถบๆ  ถนน-สะพานถูกตัดขาด สายน้ำที่มีพลังมหาศาลยังตัดเส้นทางเดินน้ำใหม่ ขยายคลองเดิม ขนาดที่ชาวบ้านบอกว่า "เห็นก้อนหินลอยมากับน้ำ"

 เมื่อเส้นทางถูกตัดขาด 11 หมู่บ้านของกรุงชิงแทบมืดมน แต่เพื่อนคนเดินป่าหรือท่องเที่ยวป่าเขาหลวง นำทีมโดย ทาร์ซานบอย กับ พี่วาร์ พี่ชาย และ เล็ก คีรีวงษ์ รวมตัวกันเดินเท้าผ่านเส้นทางที่คนเดินป่าอย่างเราๆ รู้กัน เข้าไปสำรวจและหาทางส่งข่าวออกมาภายนอก มี นพ.รังสิต ทองสมัคร์ ที่พวกเราเรียกกันว่า พี่หมอ เป็นศูนย์กลางในการระดมความช่วยเหลืออยู่ด้านนอก ก่อนที่ความช่วยเหลือจากภาครัฐจะเข้าไปถึง จนสถานการณ์คลี่คลาย แต่เส้นทางขึ้นชมทะเลหมอก และทางเข้าน้ำตกยังถูกปิด

 ฉันเองมีโอกาสลงไปร่วมแรงในพื้นที่ เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา หน้าที่ของฉันและเพื่อนคนเดินป่า ก็ไม่พ้นต้องแบกเป้เดินเท้า เข้าไปสำรวจในพื้นที่ ที่ถนนยังถูกตัดขาด คือพื้นที่บ้านห้วยเตง หมู่ 7 และบ้านทับน้ำเต้า หมู่ 8 และมีเวลาก็คงต้องเข้าสำรวจฝายที่เสียหาย ที่หมู่ 11

 บ่ายในวันสงกรานต์(13 เม.ย.) พอดิบพอดี เราเริ่มออกเดินทางจากฐานปฏิบัติการ "สวนฝากฟ้า"ของพี่หมอ มุ่งสู่หมู่ 7 และ หมู่ 8 โดยรถกระบะของพี่เดช จากท่าศาลา ที่มาช่วยด้วยหัวใจอาสา พาไปยังจุดที่ใกล้ที่สุดเท่าที่ถนนจะมีให้ ดีหน่อยตรงที่หน่วยทหารเข้าไปเกลี่ยเส้นทาง จนสามารถใช้การได้พอควร จนรถไปหยุดริมเนินสูงๆ ตามที่ชาวบ้านชี้เป้าให้ เพราะถนนหายไป กลายเป็นหาดทรายเวิ้งว้างเบื้องล่าง จากจุดนี้เอง ที่เราต้องขึ้นเป้เดินเท้าเข้าไป เพื่อไม่ให้เสียเวลาเดินทางไป-กลับ แต่เหตุผลลึกๆ ดูเหมือนว่าทีมเดินป่าของเราจะเลือกค้างคืนกลางทางมากกว่า ... ฮา

 ขึ้นเป้เดินไปได้ไม่ไกล พี่วาร์คนนำทริปบอกว่า เดี๋ยวพาไปเที่ยวน้ำตก เข้าถ้ำ  ก็ขำขำ เอาจริงเหรอหรือว่าต้องเดินไกล ที่ไหนได้แค่ตัดลงเนินนิดเดียว ก็เลี้ยวขวาประจัญหน้ากับน้ำตกหินปูน ไม่ใหญ่นัก แต่ปีนป่ายพอสมควรเพราะรกไปด้วยต้นไม้ และเถาวัลย์ พ้นน้ำตก เราก็เห็นปากถ้ำใหญ่ "ถ้ำธารน้ำรอด" ดูอลังการดีแท้ แถมหลังคาทะลุให้แสงรอดผ่าน เพียงแต่เราต้องลุยน้ำเข้าไปดูหินย้อย ที่สำคัญ ที่นี่ยัง "หินเป็น" บ่อยครั้งที่ฉันขัดใจกับพวกชอบเที่ยวถ้ำ ดูหินงอกหินย้อย แต่ไม่ระวัง ไปจับ ไปสัมผัส ทำให้เหงื่อ หรือสิ่งสกปรกจากมือเราไปทำให้หินตาย คือไม่เกิดการงอกเพิ่ม

  เราไม่ได้เข้าไปลึกนัก นอกจากหินย้อย และคราบงู พวกเราถ่ายรูปเสร็จก็กลับออกมา เพื่อเดินทางกันต่อ คราวนี้ ต้องเลาะไปตามแนวต้นปาล์ม ที่กลายเป็นปาล์มทะเลทราย เพราะรอบด้านมีแต่ทราย พ้นออกมาก็เป็นทางน้ำ ที่ดูจะกว้างมากๆ เพียงแต่น้ำไม่ลึกจนเกินไป  เราเดินข้ามน้ำไปมา เกาะแนวน้ำ และเสาไฟฟ้าที่ล้มข้างทาง ซึ่งเชื่อว่าจะพาเราไปสู่จุดหมายได้แน่ๆ

 ระหว่างทางที่เราท่องไป เกิดคำถามขึ้นในใจอยู่บ่อยครั้ง เอ๊ะ...นี่เราอยู่ในเมืองไทย หรือส่วนไหนของประเทศกันแน่ ฉันลืมไปทีเดียวว่ากำลังเดินอยู่ท่ามกลางเศษซากทางน้ำของกรุงชิง ความเวิ้งว้างของท้องน้ำ ความกว้างใหญ่ของหาดทรายที่พบเจอ ช่างให้ความรู้สึก เหมือนอยู่ริมทะเล หรือบางช่วงกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในทะเลทราย กลางแดดจ้า หาดทรายขาวละเอียด เพื่อน 2-3 คนคว้าแว่นดำมาใส่ เออหนอ ฉันไม่เคยนึกว่าจะมาเจอทะเลทรายย่อมๆ ในป่าใหญ่ เลยต้องเดินแสบตาไป ในยามที่แสงแดดลอดหมู่เมฆออกมาสะท้อนทราย สะท้อนน้ำ 

 บางช่วงเราเดินเลาะขึ้นไปบนสวนยางพารา และสุดท้ายก็ต้องตัดลงน้ำ(อยู่ดี) เดินไม่ยาก แต่หนักขาที่ต้องก้าวไปบนผืนทราย  จนตัดลงทางน้ำเห็นหาดทรายกว้างๆ ท้องเริ่มหิว กล้ามเนื้อขาเริ่มล้า พอหัวหน้าทริปพูดถึงหยุดพัก เลยไม่มีเสียงคัดค้าน แต่ก่อนพัก ของลั้นลา เก็บความสวยงามของหาดทรายเอาไว้ก่อน  " เฮ้ยย เหมือน มุยเน่ เลย" (ทะเลทรายในเวียดนาม) ฉันไม่ทันมองว่าใครพูด แต่ทุกเสียงก็ขานรับ ทะเลทรายกว้างๆ มีฉากเขา ต้นไม้เขียวๆ เป็นฉากหลัง กับฟ้าแจ่มๆ ทำให้พวกเราทิ้งเป้ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน ลืมหิว

 ถ่ายรูปเสร็จ พี่วาร์บอกว่า เราจะนอนกันในป่ายางที่เห็นข้างหน้า ข้ามน้ำหน่อยนึงขึ้นไปดู อ้าวเหมือนเกาะกลางน้ำเลยแฮะ เพราะอีกฝากก็เป็นทางน้ำ จนมารู้ที่หลังว่า เราอยู่รอยต่อที่ไม่ใช่หมู่ 7 แต่เป็นหมู่ 10 ในเขต อ.กาญจนดิษฐ์ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีเข้าไปแล้ว เมื่อเจ้าของที่เดินมาคุยด้วย ต้องข้ามน้ำเลยไปอีกฝั่งนั่นแหละ ถึงจะเป็นหมู่ 7 พื้นที่เป้าหมายของเรา เอาเป็นว่าคืนนี้ขออาศัยเกาะส่วนตัวของพี่เค้าผูกเปลนอนไปก่อนแล้วกัน

 "ตรงนี้เมื่อก่อนมีไก่ป่าเยอะ แพะที่เลี้ยงไว้ก็มาหากินแถวนี้ แต่พอน้ำป่ามา มันตัดป่ายางหายไปหลายสิบไร่เลยเชียว แพะเลี้ยงไว้ 300 ตัว ตอนนี้เหลือแค่ 60 ตัว รายได้เดือนหนึ่งหายไปเยอะ"  ลุงเจ้าของที่เล่าให้ฟัง และยังบอกด้วยว่า หาดทรายที่เราผ่านมาน่ะ ก่อนนั้นก็คือสวนยางของเขาเอง ส่วนคลองเก่าหน่ะคือคลองสายเล็กๆ ที่เรายังไม่ได้ข้ามไปหมู่ 7 ... พลังน้ำ ช่างเกินต้านทานจริงๆ  ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ได้แค่พลิกฝ่ามือ 

 คืนนี้เราก่อกองไฟล้อมวงคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เหลือเชื่อ รวมถึงหาดทรายที่เราผ่านมา จนค่อนดึก ถึงแยกย้ายกันลงเปลนอน เพราะพรุ่งนี้เรายังมีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อสรุปงานสุดท้ายว่า เราจะร่วมมือกับชาวบ้านทำอะไรกันก่อน อะไรทำกันทีหลัง และที่สำคัญเงินบริจาค ข้าวของต่างๆ จะต้องเกิดประโยชน์สูงสุด 

 หลังได้ข้อมูลต่างๆ จากการพูดคุยกับชาวบ้านแต่ละหลัง เรากลับเส้นทางเดิม แต่ก็ยังอดตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ หาดทรายและสายน้ำไม่ได้ ช่างเป็น Unseen ที่เชื่อว่าน้อยคนจะได้เห็นก่อนหน้าฉัน ... และมองว่า ที่นี่ อาจจะเป็นสถานที่ ที่มีกิจกรรมต่างๆ จากการท่องเที่ยวของพวกรักการผจญภัยไม่นอนบ้าน แต่ก็อดปรารภกับเพื่อนร่วมทางด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ... หากจัดการไม่ดี หรือหวังแต่จะมีรายได้ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ธรรมชาติบริสุทธิ์ที่เพิ่งพลิกฟื้น ก็อาจจะเสียหายไม่เป็นท่าได้เช่นกัน